นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะคณะทำงานภาคเอกชนที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) (ศบค.) เปิดเผยว่า หอการค้าไทยเชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้าที่ได้รับการผ่อนปรนตามมาตรการล็อกดาวน์เฟสแรกลงทะเบียนประกาศตัวเป็น Safe Place ตามมาตรฐานป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ผ่านเว็บไซต์ Thai.care พร้อมรับ QR Code ติดหน้าร้าน เพื่อให้ลูกค้า-ผู้เข้าใช้บริการสแกน QR Code ปักหมุดเช็คอินใช้บริการอย่างมั่นใจ ขับเคลื่อนการเปิดเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ หนุนเศรษฐกิจไทยเดินหน้าฝ่าวิกฤติ
ทั้งนี้ หลังจากมีการผ่อนปรนตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระยะที่ 1 ให้สามารถเปิดดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.63 หอการค้าไทยในฐานะตัวแทนภาคเอกชนได้ประสานความร่วมมือกับภาคสาธารณสุข ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ภายใต้เครือข่ายไทยแคร์ ผนึกกำลังร่วมกัน "เปิดเมือง ปลอดภัย" ด้วยการปรับปรุงข้อมูลที่ทันสมัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงของการระบาดซ้ำ ป้องกันจุดล่อแหลม และเป็นมาตรฐานให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
โดยพัฒนาเว็บไซต์ "Thai.care" เพื่อเป็นเครื่องมือสร้างระบบความปลอดภัยในการเปิดสถานบริการและร้านค้า สร้างความมั่นใจในการใช้บริการให้กับประชาชน พร้อมก้าวสู่ความปกติใหม่ (New Normal) ภายใต้ความร่วมมือของคนไทยที่จะร่วมกันสร้างวิถีชีวิตแห่งความปลอดภัยจากโควิด-9
เว็บไซต์ Thai.care เป็นการขอความร่วมมือให้สถานประกอบการลงทะเบียนโดยสมัครใจ หลังจากลงทะเบียนเสร็จจะมีข้อกำหนดต่างๆ ที่สถานประกอบการต้องปฏิบัติตามมาตรการ "เปิดเมือง ปลอดภัย" พร้อมรับ QR Code ติดไว้หน้าร้าน เพื่อให้ประชาชนสามารถสแกน QR Code แล้วเข้าไปใช้บริการอย่างมั่นใจ ซึ่งดำเนินการภายใต้แนวคิด "คนไทยร่วมกันแคร์" ด้วยมาตรฐาน 3 แคร์ ประกอบด้วย 1.ร้านค้าแคร์ ความร่วมมือของธุรกิจร้านค้าที่ดำเนินงานด้วยความปลอดภัยตามมาตรการที่กำหนด เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า 2.ลูกค้าแคร์ ความร่วมใจของคนไทยในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัย ด้วยการเช็คอิน-เช็คเอาท์เมื่อเข้าใช้บริการ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและคนที่คุณรัก และ 3.สังคมแคร์ ความร่วมมือเพื่อสร้างความมั่นใจของหน่วยงานที่ดูแลสังคมร่วมดูแลตรวจสอบ และประเมินมาตรฐานความปลอดภัยของสถานประกอบการ เพื่ออนาคตของประเทศไทย
นายกลินท์ กล่าวว่า หอการค้าไทยได้ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการกำหนดมาตรการของสถานประกอบการแต่ละประเภท พร้อมประสานงานกับเครือข่ายจัดกระบวนการ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการอย่างเหมาะสม โดยแบ่งกลุ่มกิจการการค้า เป็น 4 สี คือ 1.สีขาว สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่ำและเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ อุปกรณ์ทางการแพทย์ 2.สีเขียว สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงปานกลาง 3.สีเหลือง สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูง และ 4. สีแดง สถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงการกำหนดแนวทางในการป้องกันความเสี่ยงของสถานประกอบการ โดยมีการประเมินความเสี่ยงในแต่ละด้าน พร้อมทั้งจัดทำคู่มือสำหรับสถานประกอบการ ซึ่งมีมาตรการ และแนวทางปฏิบัติพื้นฐานเพื่อให้ผู้ประกอบการดำเนินการได้อย่างปลอดภัยและคล่องตัว
"การปิดกิจการส่งผลให้เกิดความสูญเสียโอกาสมากมาย ดังนั้นมาตรการผ่อนปรนต้องเป็นการบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยเมื่อเปิดแล้วจะต้องมีความปลอดภัย สร้างความมั่นใจ เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดรอบ 2 และต้องปิดกิจการอีกครั้งจะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ซึ่งการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งเว็บไซต์ Thai.Care จะเป็นการการันตีสถานประกอบการร้านค้าที่มาลงทะเบียนว่าเป็นสถานที่ปลอดภัย
ขณะที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้เข้าใช้บริการจะเป็นเสมือนหน่วยตรวจสอบ หากพบว่าผู้ประกอบการร้านค้าไม่ได้ดำเนินงานด้วยความปลอดภัยตามมาตรการที่กำหนดสามารถแนะนำ และร้องเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเพื่อให้สถานประกอบการร้านค้านั้นๆ ปรับปรุงการดำเนินงานให้เป็นไปตามมาตรการด้านความปลอดภัย นอกจากนี้การมีระบบในการเช็คอิน-เช็คเอาท์ เพื่อให้ทีมสอบสวนโรคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ถือเป็นความตั้งใจเปิดเมืองอย่างปลอดภัย โดยมีประชาชนเป็นหัวใจสำคัญช่วยให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไปให้ได้" นายกลินท์ กล่าว
สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าที่ได้รับการผ่อนปรนตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 1 สามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการ "เปิดเมือง ปลอดภัย" ผ่าน www.Thai.care ในรูปแบบที่ง่ายและปลอดภัยได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังจากนั้นพิมพ์ QR Code ติดไว้หน้าร้าน เพื่อให้ประชาชนผู้เข้ารับบริการสแกน ปักหมุดเช็คอินเมื่อเข้าใช้บริการ พร้อมกันนี้ยังมีช่องทางสื่อสารประชาสัมพันธ์ และอัพเดทข้อมูลข่าวสารผ่านทุกช่องทางโซเซียลมีเดีย (Facebook,Twitter,IG) ได้ที่ @thaidotcare