ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 พ.ค.นี้ คณะกรรมการฯ จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 0.75% มาอยู่ที่ 0.50% ตามภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเศรษฐกิจไทยหดตัวที่ 1.8% YoY ในไตรมาส 1/2563 และมีแนวโน้มที่จะหดตัวในอัตราที่เร่งขึ้นในไตรมาส 2/2563 ขณะที่ทั้งปีคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจหดตัวราว 5.0% ในปีนี้
ดังนั้น ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน กนง. จึงน่าจะให้น้ำหนักกับเป้าหมายด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องอื่นๆ ซึ่งนโยบายเหล่านี้น่าจะช่วยลดภาระทางการเงินของธุรกิจให้ประคองตัวผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้
นอกจากนี้ จากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยที่ติดลบ 2 เดือนติดต่อกันในเดือนมี.ค. และเม.ย. ท่ามกลางแรงกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแรงลงจากรายได้ครัวเรือนที่ลดลง และภาวะว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้แนวโน้มเงินเฟ้อของไทยในปี 2563 คาดว่าจะหดตัวที่ -0.5% ซึ่งก็จะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รวมถึงอาจจะมีการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอื่นๆ เพิ่มเติมในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าหากมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้แล้ว กนง.น่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.5% ตลอดในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีไม่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเรื่องการแพร่ระบาดของโรค ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันเริ่มมีทิศทางที่สามารถควบคุมได้ และหากไม่มีการระบาดซ้ำอีกระลอก คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 และจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
โดยอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 น่าจะพลิกกลับมาเป็นบวก ส่งผลให้ กนง. อาจจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มเข้าใกล้ศูนย์จะส่งผลให้ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy space) มีจำกัด รวมถึงประสิทธิผลของการดำเนินนโยบายที่ลดลง ขณะที่มาตรการทางการคลังที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานน่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาด และช่วยประคองเศรษฐกิจได้รวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม นโยบายทางการเงินแบบ Unconventional เช่น มาตรการดูแลสภาพคล่องเฉพาะจุด ก็ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้ หากมีความจำเป็นเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามทิศทางนโยบายการเงินและดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารกลางต่างๆ อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางนโยบายการเงินที่เหนือความคาดหมาย หากเศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้นกว่าเดิม เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แม้ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ดอกเบี้ยนโยบายติดลบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทิศทางนโยบายการเงินของเฟดยังขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบหากมีความจำเป็นเพิ่มเติม
ในทำนองเดียวกัน สำหรับอียูและญี่ปุ่นที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับติดลบอยู่แล้ว อาจมีการปรับลดดอกเบี้ยและดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอื่นๆ อีกเพิ่มเติม หากเศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยคงจะต้องคอยประเมินสถานการณ์ และชั่งน้ำหนักความเสี่ยงด้านต่างๆ ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า โดยยังมีทางเลือกในการดำเนินนโยบายทางการเงินที่เหนือความคาดหมายหากมีความจำเป็น เช่นเดียวกับธนาคารกลางหลักอื่นๆ