นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า หลังจากสภาพัฒน์รายงานตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/63 ออกมา -1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือหดตัว 2.2% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับฤดูกาล โดยภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเช่นนี้ มีปัจจัยสำคัญมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้คนระมัดระวังการเดินทางและการเข้าไปในพื้นที่สาธารณะต่างๆ และรัฐบาลในหลายประเทศได้ออกมาตรการจำกัดการใช้พื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการปิดกิจการห้างร้านเพื่อลดการแพร่ระบาด นับว่าเป็นเรื่องที่ดีทางสาธารณสุข
แต่ในทางเศรษฐกิจก็ทำให้คนว่างงานและขาดรายได้ โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวหดตัวถึง 38% ซึ่งกระทบธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว นอกจากการท่องเที่ยวที่อ่อนแอแล้ว อุปสงค์ภาคต่างประเทศก็ชะลอตัวและกระทบภาคการส่งออกของไทย โดยการระบาดของไวรัสจากจีนไปทั่วโลกได้มีผลให้มีคนว่างงานในหลายประเทศและคนก็ระมัดระวังในการจับจ่ายซื้อของ
ขณะที่การส่งออกที่หยุดชะงัก เมื่อไม่สามารถส่งออกได้ ภาคการผลิตก็มีปัญหาเพราะผลิตไปก็ขายลำบาก กำลังการผลิตก็เหลือ สต็อกสินค้าก็ล้น บริษัทและโรงงานต่างพากันลดคนงานหรือให้ลาพักโดยไม่รับเงินเดือนในช่วงนี้ และยิ่งทำให้การบริโภคในประเทศอ่อนแอลงเพราะขาดกำลังซื้อ ไม่เพียงกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวที่หายไป แต่กำลังซื้อคนในประเทศก็อ่อนแอจากรายได้ที่หดหาย
ด้านในภาคเกษตรก็ยากลำบากจากปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงกระทบผลผลิตให้น้อยลง และในส่วนภาครัฐเองก็มีความล่าช้าในการออกงบประมาณรายจ่าย ทำให้การบริโภคและการลงทุนของรัฐบาลหดตัว อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้ออกมาตรการทางการคลังในการประคองเศรษฐกิจขนานใหญ่ ซึ่งคาดหวังว่าภาครัฐจะเป็นพระเอกในรอบนี้
ภาพเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/63 กำลังจะดำดิ่ง แม้รัฐบาลได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู้ระบบด้วยการออกมาตรการชดเชยรายได้ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19 อีกทั้งทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการลดภาระผู้กู้ในการชะลอการชำระหนี้ชั่วคราว และได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายพร้อมอัดฉีดเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้
แต่ด้วยปัจจัยความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากภาคต่างประเทศ ที่การส่งออกสินค้ามีโอกาสหดตัวได้ถึง 20% และจำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสหดตัวได้ถึง 90% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ สำนักวิจัยฯ จึงได้คาดว่า GDP ไตรมาส 2/63 มีโอกาสหดตัวได้ถึง 14% และน่าจะลดการหดตัวลงในช่วงที่เหลือของปี และคาดว่าเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังอาจหดตัวราว 10%
จากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงลึก และลากยาวของเศรษฐกิจที่มากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวช้า ทางสำนักวิจัยฯ จึงได้ปรับลดมุมมองการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ลงจาก -6.4% เป็น -8.9% และให้ระวังวิกฤติเศรษฐกิจในรอบนี้อาจเลวร้ายที่สุดที่ประเทศไทยเคยเผชิญ ซึ่งจะรุนแรงกว่าวิกฤติต้มยำกุ้งที่เศรษฐกิจไทยในปี 41 ที่หดตัว 7.63% โดยเฉพาะไตรมาส 2 ของปี 41 ที่หดตัวลึกถึง 12.53% แต่รอบนี้อาจได้เห็นเศรษฐกิจหดตัวเลขสองหลักอีกครั้งและลากยาวกว่าเดิม
"เรากำลังโดนเวทมนตร์อะไรระหว่างตัว J กลับข้าง หรือ Avada Kedavra เศรษฐกิจไทยเหมือนกำลังต้องเวทมนตร์จากไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจจะมีเวทมนตร์มากกว่าหนึ่งคาถาที่เศรษฐกิจไทยได้รับ เวทมนต์แรกคือตัวเจกลับข้าง หรือ Reversed J คือ เศรษฐกิจไทยอาจลงลึก ลากยาว ฟื้นต่ำ คล้ายๆ กับตัวยู U แต่ด้วยกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ de-globalization ที่แต่ละประเทศหวังดึงเงินให้หมุนในประเทศ ไม่อยากให้ออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวที่เมื่อปัญหาโควิดคลี่คลายลง"นายอมรเทพ กล่าว
หลังจากที่การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีน เริ่มคลี่คลายลงแล้ว และได้มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆลง จีนอยากให้เน้นการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ส่วนผู้ประกอบการก็อยากให้มีการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าหรือรัฐบาลจะมีการสร้างแรงจูงใจให้ใช้สินค้าและวัตถุดิบในประเทศ เพื่อส่งเสริมการสร้างงานและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้กำลังการผลิตตกต่ำ ซึ่งการจำกัดการเคลื่อนย้ายของทุนและแรงงาน ตลอดจนการท่องเที่ยวจะมีผลให้การใช้ทรัพยากรในประเทศขาดประสิทธิภาพ ทำให้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกอาจกลับไปโตได้ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด
เวทมนตร์ที่สองคือ Avada Kedavra ซึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบเรื่อง Harry Potter จะรู้ดีว่ามันคือรูปแผลเป็นบนหน้าผากของแฮรี่ เป็นรูปคล้ายๆ สายฟ้าฟาด จะเอียงๆ อยู่ระหว่างตัว N และตัว Z เวทมนตร์นี้ใช้หลอกนักเศรษฐศาสตร์ที่มักมองโลกในแง่ลบ มองเศรษฐกิจกำลังเลวร้าย แต่สำหรับนักลงทุนกลับมองโลกในด้านบวก ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจกำลังจะถึงจุดต่ำสุดในช่วงนี้ สถานการณ์กำลังคลี่คลายไปด้วยดี ไม่ว่าจะเปิดการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อ และมองสภาพคล่องที่มีล้นประกอบกับราคาสินทรัพย์ที่ย่อลงอยู่ในระดับที่น่าสนใจในการลงทุน
ทำให้เห็นราคาหุ้นและราคาสินทรัพย์ต่างๆ ทะยานกลับขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว หลังดิ่งลงมาในช่วงเดือนมี.ค.-ต้นเดือนเม.ย. เป็นภาพคล้ายๆกับสายฟ้าฟาด เพราะนักลงทุนมองอนาคต ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบัน ทำให้เห็นภาพผลกระทบจากโควิด-19 ในภาพที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมองเห็นร่วมกัน คือ อนาคตจะสดใสกว่าปัจจุบันและทุกคนจะสามารถฝ่าฟันให้พ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ในไม่ช้า