นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายแก่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โดยประเมินว่า จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และเชื่อว่าภายใน 1-2 ปีนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น แต่ต้องการให้บีโอไอใช้โอกาสนี้ในการสร้างจุดเด่นให้กับประเทศไทยเพื่อดึงดูดการลงทุนในอนาคต
โจทย์แรกคือ บีโอไอต้องทำให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ที่แท้จริงของกลุ่ม CLMVT (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม และไทย) ในเรื่องของอาหาร, บริการทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ซึ่งไทยมีความโดดเด่นมากในด้านเหล่านี้ รวมถึงต้องพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และดิจิทัล เพื่อดึงดูดนักลงทุนในวันข้างหน้าด้วย
"ต่อจากนี้ ส่งออกดีเก็บไว้ รักษาฐานไว้ แต่โจทย์แรก เราต้องเป็นศูนย์กลางการลงทุนของ CLMVT ให้ได้โดยที่ไม่มีใครเคลมเราได้ว่าเหนือกว่าเรา บริการทางแพทย์ รับรองไม่มีใครเคลมได้ว่าเหนือกว่าเรา เรื่องสาธารณสุข เรื่องท่องเที่ยวไม่มีใครเหนือกว่าเรา การเกษตรแปรรูปไม่มีใครเหนือกว่าเราแน่นอน สร้างภาพลักษณ์ในสิ่งเหล่านี้ และต้องดูว่าต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้แข็งแรงขึ้น และบีโอไอก็ออกมาตรการดึงสิ่งเหล่านี้เข้ามาลงทุน" นายสมคิด กล่าว
ด้านต่อไป คือ การส่งเสริมภาคเกษตรให้เกิดความเข้มแข็ง กลายเป็นผู้ประกอบการด้านเกษตรและท่องเที่ยวเกษตร ส่งเสริมให้เกิด Local Economy ให้คนที่กลับภูมิลำเนามีงานทำ เกิดการจ้างงาน หรือไปเชื่อมโยงกับเกษตรกรรายย่อยได้ โดยให้บีโอไอไปจัดทำนโยบายส่งเสริมกลุ่ม Smart Farmer เช่น ช่วยเหลือด้านโลจิสติกส์ หรือเครื่องจักรทางการเกษตร เป็นต้น ซึ่งบีโอไอแจ้งว่า อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของญี่ปุ่นต้องการมาลงทุนในไทยแล้ว
นายสมคิด ยังมอบนโยบายให้บีโอไอกำหนดเป้าหมายการสร้างธุรกิจที่ก้าวสู่ระดับยูนิคอร์นที่สามารถเข้าตลาดหุ้นและเติบโตได้ใน 5 ปีข้างหน้าว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง พร้อมกับขอให้บีโอไอสานต่อกับ 4 ประเทศหลัก ทั้งจีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน ดึงภาคธุรกิจให้กลับมาลงทุนโดยเร็ว
ขณะที่ น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ ยอมรับว่า ปีนี้ตัวเลขส่งเลขส่งเสริมการลงทุนลดลง ซึ่งเป็นเหมือนกันทั่วโลก และในขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายการลงทุนแต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด
ส่วนกรณีรัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนด้านการเงินให้แก่บริษัทญี่ปุ่นที่ย้ายโรงงานและฐานการผลิตกลับไปอยู่ที่ญี่ปุ่นอีกครั้งนั้น เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้มีการหารือกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) และหอการค้าญี่ปุ่น (เจซีซี) ซึ่งบริษัทญี่ปุ่นยังมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และได้เปรียบเรื่องทำเลที่ตั้ง รวมถึงมีจุดเด่นด้านอาหารและเกษตร ซึ่งเมื่อมีสถานการณ์โควิด-19 ประเด็นความปลอดภัยด้านอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าจะยังสามารถชักจูงบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยได้มากขึ้น