น.ส.ปัทมาวดี บุญโญภาส รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศคลี่คลายลง นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒธุรกิจการค้า ได้สั่งการให้ลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมฯ จะร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นหน่วยงานหลักขับเคลื่อนการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และ ธ.ก.ส.เป็นธนาคารแรกที่เกษตรกรสามารถนำไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินของตนเองมาเป็นหลักประกันการกู้เงินตาม พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจได้
"เบื้องต้นกรมฯ และ ธ.ก.ส.เตรียมลงพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีประมาณเดือน ก.ค.นี้ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรและประชาชนปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเอง รวมทั้งชี้แจงรายละเอียดโครงการธนาคารต้นไม้ของ ธ.ก.ส.และแนวทางการใช้ไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เพราะเกษตรกรหรือประชาชนที่ต้องการใช้ไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อกับ ธ.ก.ส.ต้องเป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส.และเป็นสมาชิกธนาคารต้นไม้ด้วย ดังนั้นการเข้าใจถึงรายละเอียดและหลักเกณฑ์การขอสินเชื่อที่ชัดเจนจะช่วยให้เกษตรกรวางแผนการใช้ประโยชน์จากไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินของตนเอง หรือเริ่มปลูกไม้ยืนต้นเพื่อการออมในอนาคต นอกจากนี้จะได้ร่วมกันตรวจวัดและประเมินมูลค่าไม้ยืนต้นของเกษตรกรที่แสดงความประสงค์ขอใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ณ ที่ดินของเกษตรกร ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดด้วย" น.ส.ปัทมาวดี กล่าว
รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า การประสานความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานจะช่วยผลักดันให้เกษตรกรและประชาชนตระหนักถึงประโยชน์ของการปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มแหล่งออกซิเจนให้ประเทศแล้ว ยังสามารถนำไม้มีค่ามาเป็นหลักประกันขอกู้เงินกับธนาคารได้ด้วย และจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่า เกษตรกรและประชาชนให้ความสนใจปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเองมากขึ้น หลังจากทราบว่า สามารถนำมาเป็นหลักประกันการขอสินเชื่อเพื่อต่อยอดธุรกิจ หรือใช้สอยในชีวิตประจำวัน โดยไม่จำเป็นต้องตัดต้นไม้
ปัจจุบันมีผู้ขอนำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้วจำนวน 104,571 ต้น เป็นไม้ประเภทยาง ยางพารา ต้นสัก และยูคาลิปตัส มูลค่ารวม 131,051,400 บาท