"เบอร์นันเก้"เตือนตลาดอสังหาฯสหรัฐทรุดตัวอาจฉุดเศรษฐกิจโดยรวมตกต่ำ

ข่าวต่างประเทศ Thursday July 19, 2007 08:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งสภาคองเกรสที่อาคารแคปิตอล ฮิลล์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นจากภาวะซบเซาแล้ว แต่อัตราการขยายตัวโดยทั่วโปยังคงต่ำกว่าคาด และภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นที่น่าห่วงอย่างยิ่ง
เบอร์นันเก้กล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวระดับปานกลางในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ก็ยังต่ำกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ในเดือนก.พ.เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวขึ้นจนถึงปีหน้า"
ทั้งนี้ เบอร์นันเก้คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในช่วง 2.25-2.50% ในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนก.พ.ที่ 2.5-3.0% ส่วนในปี 2550 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในช่วง 2.50-2.75%
ขณะเดียวกันคาดว่าอัตราว่างงานซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.5% นั้น จะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 4.75% ในปีนี้ และคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 4.75% ในปีหน้า ซึ่งไม่แตกต่างจากที่เฟดคาดการณ์ไว้ในเดือนก.พ.
ส่วนสถานการณ์เงินเฟ้อนั้น เบอร์นันเก้กล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2-2.25% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้น 1.75-2% ในปี 2551 ซึ่งไม่ต่างจากที่เฟดคาดการณ์ไว้เช่นกัน
ทั้งนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐคือตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าทรุดตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบไปถึงตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
"ส่วนปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆคือราคาพลังงานและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นด้วย และคาดว่าดัชนี CPI พื้นฐานจะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เฟดจึงมองว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันทำให้เฟดรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง" เบอร์นันเก้กล่าว
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้คาดว่า "ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังคงชะลอตัวลงอีก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรฐานการปล่อยกู้ที่เข้มงวดขึ้นและอัตราดอกเบี้ยกู้จำนองที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ หากความต้องการที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงก็จะทำให้ธุรกิจสร้างบ้านตกต่ำลงและจะทำให้จำนวนบ้านที่คงค้างในสต็อคปรับตัวสูงขึ้น
"คาดว่าธุรกิจการสร้างที่อยู่อาศัยจะยังคงชะลอตัวลงอีกและจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้านี้" เขากล่าว สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ