นายลี กวน ลิว รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารเงินและตลาดทุน ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย)(มหาชน) กล่าวว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นที่จะมาลงทุนในประเทศไทย หลังจากมีการทำข้อตกลง JTEPA แล้ว ซึ่งคาดว่าจะเห็นนักลงทุนญี่ปุ่นกลับมาลงทุนได้อย่างชัดเจนในปี 51 หลังจากมีการเลือกตั้งแล้ว
ทั้งนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นไม่ได้กังวลเรื่องมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท หรือปัญหาเงินบาทแข็งค่า เพราะเชื่อว่าเป็นปัญหาระยะสั้นเนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้า
ด้านน.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) ให้ความเห็นว่า โอกาสที่เศรษฐกิจของไทยจะเกิดวิกฤตมีโอกาสน้อย ในการไปโรดโชว์นักลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18-20 มิ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญยังดีอยู่ เช่น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพียงพอที่จะเผชิญกับภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจได้
ขณะที่ภาคธุรกิจในประเทศก็มีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น มีภาระหนี้ลดลง และถึงแม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวสูงขึ้นกว่า 800 จุด แต่ยังต่ำกว่าระดับ 1,400 จุดในช่วงปี 40 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
น.ส.อุสรา กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวหลังจากนักลงทุนมั่นใจกับความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งคาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้ และในปี 51 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการบริโภคเพิ่มขึ้น เพราะคนไทยมีกำลังซื้อสูงแต่ที่ผ่านมายังขาดความเชื่อมั่น ขณะที่อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ยังมีสูง ดังนั้นผู้ประกอบการคงต้องเตรียมลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิตไว้รองรับความต้องการของตลาดที่กำลังจะกลับมาหลังจากมีการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนญี่ปุ่นยังมีความห่วงกังวลในเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยตนเองได้ชี้แจงถึงสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนญี่ปุ่นจะได้ชดเชยหลังจากมีการทำข้อตกลง JTEPA ซึ่งสร้างความพอใจให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นอย่างมาก
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/ธนวัฏ/เสาวลักษณ์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 353 อีเมล์: saowalak@infoquest.co.th--