นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งธนาคารออมสินได้ดำเนินการเร่งให้ความช่วยเหลือหลายมาตรการ รวมถึงร่วมบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผ่านการให้สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อบรรเทาผลกระทบ ด้วย "โครงการสินเชื่อพิเศษ" ตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อเสริมสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว
ธนาคารออมสิน สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำ ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นกู้จำนวนมากจนเต็มวงเงินในเวลาอันรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ เมื่อธนาคารฯ ได้รับเรื่องกู้และเร่งพิจารณาตามกระบวนการสินเชื่อแล้ว ปรากฏมีผู้ยื่นกู้ไม่ผ่านเกณฑ์หรือคุณสมบัติไม่ตรง และไม่มาติดต่อธนาคารตามที่ได้แจ้งข้อความผ่าน SMS จึงทำให้ยังมีวงเงินอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกันยังมีผู้ได้รับผลกระทบที่สนใจยื่นกู้อีกเป็นจำนวนมาก ธนาคารออมสินจึงเปิดให้บริการสินเชื่อนี้อีกครั้ง พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกด้วยการเปิดให้ยื่นเรื่องผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.63 เป็นต้นไป
นายวิทัย กล่าวว่า การปล่อยกู้ในครั้งนี้ ธนาคารฯ ยังคงให้วงเงินกู้สูงสุด 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน (Flat Rate) ให้ผ่อนชำระไม่เกิน 3 ปี โดยคุณสมบัติผู้กู้ต้องเป็นผู้มีรายได้ประจำ เช่น พนักงานบริษัทในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหรือธุรกิจบริการ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ได้รับผลกระทบ เช่น ตกงาน ถูกลดเงินเดือน ขาดรายได้ เป็นต้น
โดยสามารถใช้บุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันก็ได้ เพียงมีอายุ 20 ปีขึ้นไป สัญชาติไทย มีถิ่นที่อยู่อาศัยแน่นอนสามารถติดต่อได้ มีเอกสารทางการเงินเป็นรายงานการจ่ายเงินเดือน (สลิปเงินเดือน) 1 เดือนล่าสุดทั้งผู้กู้และผู้ค้ำประกัน หรือใช้เอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) ย้อนหลัง 3 เดือนล่าสุด
"การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย และส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ธนาคารออมสินจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการช่วยประชาชนด้วยสินเชื่อนี้จะเป็นการบรรเทาผลกระทบลงได้บ้าง เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่เดือดร้อนของประชาชนอีกเป็นจำนวนมาก โดยจะเปิดให้บริการไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค.63 นี้" ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าว