กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00-31.40 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 31.16 บาท/ดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือน ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ตามคาด ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 4.4 พันล้านบาท และ 3.3 พันล้านบาท ตามลำดับ
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า นักลงทุนจะติดตามท่าทีของสหรัฐฯ กับจีนก่อนการเจรจาการค้าวันที่ 15 ส.ค. รวมถึงประเด็นข้อกฎหมายของคำสั่งฝ่ายบริหาร ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ลงนามเพื่อให้จ่ายสวัสดิการว่างงาน 400 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์แก่ชาวอเมริกันที่ตกงานเพราะโควิด-19 หลังจากที่สมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันไม่สามารถตกลงกันเรื่องมาตรการกระตุ้นทางการคลัง หลังจากสัปดาห์ที่แล้วอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 5 ปี แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของโรคระบาดต่อภาวะเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ ตลาดจะให้ความสนใจกับดัชนีราคาผู้บริโภค และยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ขณะที่แรงหนุนจากตัวเลขการจ้างงานอาจส่งผลให้ในภาพรวมตลาดเข้าสู่ภาวะพักฐานในช่วงสั้นๆ
สำหรับปัจจัยในประเทศ เงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ค.63 ลดลง 0.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยติดลบเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อติดลบน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ และเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนมิ.ย.63 ตามราคาพลังงานและราคาอาหารสดที่ฟื้นตัว
ขณะที่ กนง.ระบุว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากตั้งแต่ต้นปีนี้ รวมถึงมาตรการด้านการคลังและสินเชื่อ จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่กรอบเป้าหมาย โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว และ GDP ไตรมาส 2/2563 อาจจะออกมาดีกว่าที่เคยประเมินไว้ แต่คาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปีที่กิจกรรมโดยรวมจะกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ ทางการมองว่าค่าเงินบาทผันผวนสูงขึ้นตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ แต่หากเงินบาทแข็งค่าเร็ว อาจพิจารณาความจำเป็นของมาตรการอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม เรามองว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบาย ต่อไปและเร่งกระจายสภาพคล่องสู่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบให้ตรงจุดมากขึ้น