นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ.เตรียมเสนอนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงานคนใหม่ เพื่อปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2561-2580 (PDP2018) เพื่อลดปริมาณสำรองไฟฟ้าให้อยู่ในระดับเหมาะสมที่ราว 15% จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าส่วนเกินกว่า 20,000 เมกะวัตต์ หรือสูงถึง 40% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ โดยแนวทางเบื้องต้นอาจจะเลื่อนการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) หรือลดโควตาของโรงไฟฟ้าชุมชนลง
ปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าราว 50,300 เมกะวัตต์ (MW) แต่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (peak) อยู่เพียงประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีปริมาณไฟฟ้าเหลือประมาณ 20,000 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 40% ของกำลังการผลิต ขณะที่การใช้ไฟฟ้าของประเทศปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 63 หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมลดลง
ทั้งนี้ สนพ.จะเสนอให้รมว.พลังงาน พิจารณาปรับแก้ไขแผน PDP ใน 2 แนวทาง ได้แก่ แนวทางแรกอาจจะดึงแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่ยังอยู่ระหว่างรอเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรับทราบ มาปรับแก้ไขก่อนนำกลับเข้าเสนอ ครม.ใหม่ หรือแนวทางที่สอง ให้แผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่านครม.ไปก่อน แล้วจึงมาแก้ไขในรายละเอียดแทน
อย่างไรก็ตามส่วนตัวเห็นว่าควรให้ PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่านครม.ไปก่อน เนื่องจากจะส่งผลดีให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจาก 3 การไฟฟ้า ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ,การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยเฉพาะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงของกฟผ. รวมถึงการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก 700 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศได้
ขณะที่แผน PDP มีกำหนดต้องปรับปรุงทุก 3-5 ปีอยู่แล้ว โดยในปี 64 จะครบกำหนดที่ต้องปรับแผน PDP ใหม่ ดังนั้น เมื่อ PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่าน ครม.ได้ ก็จะต้องปรับแผนอีกครั้งเพื่อให้ปริมาณไฟฟ้าประเทศอยู่ระดับเหมาะสม โดยอาจปรับแผนใหม่เป็น PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 หรือ ปรับใหม่เป็น PDP2020 ก็ได้
สำหรับแนวทางที่จะหารือกับรมว.พลังงาน เพื่อแก้ปัญหาสำรองไฟฟ้าล้นระบบนั้น อาจจะปรับลดปริมาณการผลิตไฟฟ้าลง ด้วยการหารือเลื่อนการผลิตไฟฟ้าของ SPP ออกไปก่อน และปรับลดโควตาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์ลง ซึ่งอาจเป็นการลดลงในส่วนของโรงไฟฟ้าชุมชนกลุ่มทั่วไป 600 เมกะวัตต์ ส่วนในกลุ่มเร่งด่วน (Quick win) 100 เมกะวัตต์ให้คงไว้ นอกจากนี้อาจต้องนำปริมาณไฟฟ้าส่วนเกินไปขายให้ประเทศเพื่อนบ้านแทน แต่ต้องหารือ กฟผ.ถึงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าที่จะมารองรับด้วย