น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบและมีมติอนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ครั้งที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วย
1.การปรับเพิ่มวงเงินกู้ของรัฐบาลในกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (Revenue Shortfall) ในปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 214,093 ล้านบาท 2. นำรายการหนี้ของ บมจ. การบินไทย (THAI) ออกจากแผนฯ เนื่องจาก บริษัทฯ ได้พ้นสถานภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้หนี้เงินกู้ของการบินไทยไม่นับเป็นหนี้สาธารณะตามกฎหมาย 3.การปรับกรอบและวงเงินของการบริหารหนี้สาธารณะให้สอดคล้องกับความต้องการของรัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุน FIDF)
ทั้งนี้ การปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธาณะดังกล่าว ส่งผลให้วงเงินตามแผนเดิมมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1) แผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่มสุทธิ 158,521 ล้านบาท จากเดิม 1,497,498 ล้านบาท เป็น 1,656,020 ล้านบาท
2) แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับลด 67,267 ล้านบาท จากเดิม 1,035,777 ล้านบาท เป็น 968,510 ล้านบาท
3) แผนการชำระหนี้ ปรับลด 22,329 ล้านบาท จากเดิม 389,373 ล้านบาท เป็น 367,043 ล้านบาท
น.ส.รัชดา กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (Revenue Shortfall) ในปีงบประมาณ 2563 จำนวน 214,093 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2563
โดยการกู้เงินกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ดังกล่าว เป็นการดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และสอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่กำหนดให้รัฐบาลต้องรักษาระดับเงินคงคลังไว้ในระดับที่จำเป็น เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการเบิกจ่ายเพื่อการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งการกู้เงินเพิ่มเติมดังกล่าว จะส่งผลให้รัฐบาลมีระดับเงินคงคลังเพียงพอรองรับการเบิกจ่ายของหน่วยงาน
"การปรับปรุงแผนฯ ข้างต้นส่งผลให้ประมาณการยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 มีจำนวน 8.21 ล้านล้านบาท โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ระดับ 51.64% ซึ่งไม่เกิน 60% ตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด" รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ