SCB EIC คงคาดการณ์ส่งออกไทยปีนี้หดตัว -10.4% แม้ก.ค.ผ่านจุดต่ำสุด แต่ยังต้องจับตา 4 ปัจจัยเสี่ยงข้างหน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 25, 2020 10:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ยังคงประมาณการส่งออกของปี 63 ที่ -10.4% แม้มูลค่าการส่งออกเดือนก.ค. 63 หดตัวที่ -11.4%YOY หดตัวน้อยลงจาก -23.2%YOY ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงการผ่านจุดต่ำสุด (bottomed out) ของภาคการส่งออกไทยและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มปรับดีขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง

สำหรับการส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกของปี 63 ในภาพรวมหดตัว -7.7%YOY และหากหักอาวุธและทองคำการส่งออกจะหดตัว -11.1%YOY

อย่างไรก็ตาม แม้การส่งออกจะมีทิศทางฟื้นตัว แต่ SCB EIC คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี การส่งออกยังคงหดตัวต่อเนืองจากหลายปัจจัยเสี่ยงกดดัน ได้แก่ 1) การกลับมาระบาดอีกครั้งของโควิด-19 ในหลายประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทยโดยในช่วงหลังการกลับมาระบาดอีกระลอกทำให้หลายประเทศต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งหากพิจารณาความเข้มงวดของมาตรการควบคุมโรค (government stringency index) ในประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย พบว่า หลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย และเวียดนาม เริ่มกลับมามีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงหลังและหากคำนวณดัชนีความเข้มงวดของมาตรการควบคุมโรคที่ถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนการส่งออกของไทยไปยังประเทศคู่ค้าหลัก 10 ประเทศข้างต้นพบว่าค่าดัชนีเริ่มปรับสูงขึ้นสะท้อนว่าภาคเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอาจประสบภาวะชะลอตัวของการฟื้นตัว (stalling economic recovery) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออกไทยในระยะถัดไป

2) สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยล่าสุด นอกจากปัญหาด้านสงครามการค้าและปัญหาด้านการกีดกันบริษัทเทคโนโลยีจากจีนในตลาดสหรัฐฯ แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯยังได้มีการลงนามบังคับใช้กฎหมายคว่ำบาตรจีนและเพิกถอนสถานะพิเศษฮ่องกง (ยกเลิกสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนรวมถึงยกเลิกการยกเว้นสิทธิภาษีเดินเรือกับฮ่องกง) ซึ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างสองประเทศเลวร้ายมากขึ้น โดยในระยะข้างหน้าเป็นไปได้ว่าทั้งสองประเทศอาจใช้มาตรการที่สร้างความตึงเครียดระหว่างกันเพิ่มเติมที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะการค้าโลกในที่สุด

3) ความเสี่ยงในการถูกขึ้นบัญชีเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน (Currency manipulator) โดยจากข้อมูลปี 62 พบว่าไทยเข้าเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ โดยรายละเอียดของเกณฑ์ต่าง ๆ มีดังนี้ มีการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยในช่วงปี 62 ไทยมีการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ 20,148.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกินเกณฑ์ที่สหรัฐฯ ได้กำหนดไว้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยจากข้อมูลล่าสุดในเดือนมิ.ย. 63 จาก U.S Cencus Bareau ยอดการค้าเกินดุลในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 22,371.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% ของ GDP ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ในปี 2019 ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 6.8% ของ GDP และจากข้อมูลย้อนหลัง ยอดเกินดุลของไทยใน 2 ปีก่อนหน้าก็สูงกว่า 3% ของ GDP ทั้งสิ้น มูลค่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมากกว่า 2% ของ GDP จากข้อมูลในปี 62 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 3.2% ของ GDP ทั้งนี้หากไทยถูกสหรัฐฯ ประกาศเป็นประเทศ currency manipulator หรือ อยู่ในรายชื่อประเทศที่ต้องเฝ้าติดตาม (monitoring list) อาจทำให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมกับสินค้าส่งออกของไทยได้

4) กระแสการย้ายฐานการผลิต (Reshoring of Supply Chains) และ ภูมิภาคาภิวัฒน์ (Regionalization) ที่เร่งตัวขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากการที่มาตรการปิดเมืองในหลายประเทศทั่วโลกทำให้การดำเนินงานของบริ ษัทจำนวนมากหยุดชะงักปิดกิจการชั่วคราวหรือถาวรจากทั้งด้านอุปสงค์ที่ซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจโลกและปัญหา supply chain disruption ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศจึงมีแนวโน้มหันมาพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว หรือกระจายการผลิตไปยังประเทศใกล้เคียงซึ่งแนวโน้มดังกล่าวอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานของการส่งออกไทยได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ