น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เชื่อว่ามูลค่าการค้าออนไลน์จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ในปัจจุบันอาจจะยังมีสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าออฟไลน์ โดยมีสัดส่วนเบื้องต้นที่ สนค.ประมาณการอยู่ที่ 10% ซึ่งจะเป็นโอกาสเพิ่มมูลค่าการค้าให้ทั้งแก่ผู้ซื้อและผู้ขายและภาพรวมของระบบการค้าได้
ทั้งนี้ จากผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่มีการซื้อสินค้าและบริการทางช่องทางออนไลน์ โดยครอบคลุม 884 อำเภอ/เขตทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 8,163 คน พบว่า ผู้บริโภค 70.6% มีการใช้จ่ายออนไลน์ ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ 85.7% ใช้จ่ายไม่เกิน 3,000 บาท/เดือน โดยช่องทางที่นิยมซื้อมากที่สุดได้แก่ Lazada/Shopee 44.7% รองลงมาเป็นห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (โลตัส/บิ๊กซี/วัตสัน/โรบินสัน) 26.6% เฟซบุ๊ค 17.7% และช่องทางอื่น (Lineman/Grabfood/Foodpanda/Instagram และ Weloveshoping 11.0%
สำหรับประเภทสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมซื้อทางออนไลน์ ได้แก่ เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า 24.1% อาหารและเครื่องดื่ม 20.8% สินค้าสุขภาพความงามและของใช้ส่วนบุคคล 19.1% ของใช้ภายในบ้าน 17.3% และอื่นๆ 18.6%
โดยเหตุผลสำคัญของการซื้อออนไลน์ ได้แก่ ความสะดวก 34.0% ตามด้วยราคาถูก 21.3% มีให้เลือกหลากหลาย 20.1% สามารถเปรียบเทียบราคาได้ง่าย 12.1% มีส่วนลด 9.4% และน่าเชื่อถือ 3.1%
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า ผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับความสะดวกในการใช้จ่ายมาก ขณะที่ราคาและความหลากหลายก็ยังเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการค้าออนไลน์ ดังนั้นทิศทางและรูปแบบการค้าในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ออนไลน์หรือออฟไลน์ต้องมุ่งให้ความสะดวกแก่ผู้บริโภคเป็นสำคัญ และ
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายที่จะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ รวมทั้งเกษตรกรที่ใช้สื่อออนไลน์เป็น มีการค้าขายหรือนำเสนอสินค้าผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ มากขึ้น เพราะจะเป็นช่องทางการทำการตลาดและการขายได้เพิ่มจากที่มีหน้าร้านหรือไม่มีก็ได้ แต่มีอุปสรรคบางส่วนคือ ค่าขนส่งโลจิสติกส์ในประเทศยังค่อนข้างสูงอยู่เมื่อเทียบกับราคาสินค้า และการเข้าถึงแพลตฟอร์มยังอาจทำได้ไม่สะดวกสำหรับบางผู้ประกอบการ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะหาแนวทางลดอุปสรรคหรือสนับสนุนเพิ่มขึ้นต่อไป