นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประกอบการร้านค้าส่งค้าปลีกและการดำเนินงานของผู้ผลิตสินค้าชุมชนใน จ.ภูเก็ต ว่า ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการในพื้นที่มีรายได้ลดลง และบางส่วนต้องหยุดกิจการลงชั่วคราว แต่เศรษฐกิจของ จ.ภูเก็ต ยังสามารถเดินต่อไปได้ โดยต้องพึ่งพิงกำลังซื้อจากภายในประเทศและเศรษฐกิจชุมชนเป็นหลัก ซึ่งร้านค้าส่งค้าปลีกและร้านโชวห่วยภายในจังหวัดจะเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากเป็นแหล่งจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคของชุมชนเป็นช่องทางการกระจายสินค้า OTOP และสินค้าชุมชนต่างๆ รวมถึง เป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญ อย่างไรก็ดี ร้านค้าส่งค้าปลีกและร้านโชวห่วยจะต้องมีการพัฒนาระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุน เพิ่มกำไร จำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคในราคาสมเหตุสมผล เพื่อเป็นการช่วยเหลือกันในสถานการณ์เช่นนี้
สำหรับร้านค้าส่งค้าปลีกที่ไปตรวจเยี่ยมครั้งนี้คือ ร้านซุปเปอร์ชีป เป็นร้านค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่ใน จ.ภูเก็ต มีสาขากว่า 80 แห่ง กระจายอยู่ใน จ.ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฏร์ธานี กรุงเทพมหานคร และมีร้านค้าเครือข่ายกว่า 2,500 ร้านค้าทั่วภาคใต้ฝั่งตะวันตก ซึ่งความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากความตั้งใจจริงในการพัฒนาประสิทธิภาพร้านค้า โดยเข้าร่วมโครงการกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของไทย โดยได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ให้คำปรึกษาเชิงลึกกับทางร้าน ทำให้ร้านมีระบบบริหารสต็อกสินค้าและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 5% ถือเป็นความสำเร็จที่กระทรวงพาณิชย์ภาคภูมิใจเป็นอย่างมากและจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานมาพัฒนาร้านค้าส่งค้าปลีกและร้านโชวห่วยอย่างเป็นระบบ โดยสร้าง ecosystem ที่เหมาะสมสำหรับร้านค้าโชวห่วยและเศรษฐกิจชุมชน
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ร้านซุปเปอร์ชีปได้มีการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภคยุค New Normal เช่น การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ควบคู่กับการขายสินค้าหน้าร้าน (Omni-Channel) ปรับวิธีการบริหารจัดการร้านค้าให้เป็นระบบ/ระเบียบมากขึ้น ดูแลร้านค้าและสินค้าให้มีความสะอาด หาสินค้าได้ง่าย เนื่องจากลูกค้าจะใช้เวลาอยู่ภายในร้านไม่นาน ฯลฯ เป็นต้น ทำให้ร้านสามารถเดินต่อไปได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม
"หลังจากการลงพื้นที่และพูดคุยกับผู้ประกอบการในพื้นที่ ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำเนินการวางแผนเพื่อพัฒนาร้านโชวห่วยและร้านค้าส่งค้าปลีกในพื้นที่อย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ของ จ.ภูเก็ต ให้เข้มแข็งและเดินหน้าได้ด้วยความมั่นคงอีกครั้ง" นายวีรศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ร้านค้าส่งค้าปลีกโชวห่วยท้องถิ่นถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถซื้อหาสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย รวมถึงเป็นแหล่งกระจายสินค้าท้องถิ่นและสินค้าชุมชนของประเทศ อย่างไรก็ดี ร้านค้าส่งค้าปลีกโชวห่วยท้องถิ่นต้องเผชิญกับความท้าทายจำนวนมาก ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ค่อนข้างรุนแรงจากการเข้ามาของร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกออนไลน์ ทำให้จำเป็นต้องปรับตัวทั้งด้านการปรับภาพลักษณ์ร้านค้า การตลาด การบริหารคลังสินค้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในร้านค้าอย่างเหมาะสม โดยปัจจุบันประเทศไทยมีร้านค้าโชวห่วยกว่า 400,000 ร้านค้าทั่วประเทศ