ดังนั้น การปฏิรูปอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในต่างประเทศดังกล่าวย่อมจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินไทย จากธุรกรรมทางการเงินที่อ้างอิงกับ LIBOR ทางตรงและอ้างอิงกับ THBFIX ทางอ้อม อย่างไรก็ดีแม้ธุรกรรมทั้งสินเชื่อและธุรกรรมอนุพันธ์ที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย THBFIX จะมีปริมาณค่อนข้างมาก แต่ผลกระทบจากการยุติการเผยแพร่ THBFIX คาดว่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากสินเชื่อที่อ้างอิงกับ THBFIX มีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยอดสินเชื่อรวม และผู้กู้ยืมที่ใช้ THBFIX มักเป็นลูกค้ารายใหญ่ ส่วนธุรกรรมอนุพันธ์ก็มีผู้เล่นหลักเป็นกลุ่มลูกค้าสถาบัน ซึ่งมีความสามารถที่จะจัดการการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้
น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า เพื่อรองรับการยุติการเผยแพร่ THBFIX ในปีหน้า ธปท. ในฐานะผู้บริหารจัดการอัตราดอกเบี้ย THBFIX จะจัดทำอัตราดอกเบี้ยสำรอง (Fallback THBFIX) เพื่อให้ลูกค้าที่มีสัญญาอ้างอิง THBFIX ที่ค้างอยู่สามารถใช้ทดแทนได้ โดยค่าของอัตราดอกเบี้ยสำรองจะใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ย THBFIX เดิม ดังนั้น ผลกระทบจากการตีมูลค่าจึงมีไม่มาก ขณะเดียวกัน ธปท. ได้ขอให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้วเช่นกัน โดย ธปท. จะติดตามความคืบหน้าการปรับสัญญาการเงินที่อ้างอิง LIBOR และ THBFIX ของทุกธนาคารอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ ธปท. จะดำเนินการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการเปลี่ยนผ่านที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการที่มีสินเชื่อ ตราสารหนี้ หรืออนุพันธ์ที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย THBFIX ที่จะครบกำหนดภายหลังปี 2564 ควรเร่งศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย Fallback THBFIX และหารือกับธนาคารคู่สัญญาเพื่อขอปรับเพิ่มข้อความในสัญญาให้สามารถใช้อัตราดอกเบี้ย Fallback THBFIX ได้ โดยควรให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 2564 อีกทั้งควรศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย THOR เพื่อใช้อ้างอิงธุรกรรมทางการเงินในอนาคต
นอกจากนี้ ธปท. และผู้ร่วมตลาดได้ร่วมกันพัฒนาอัตราดอกเบี้ยธอร์ (THOR: Thai Overnight Repurchase Rate) เพื่อเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตัวใหม่ที่สะท้อนภาวะตลาดการเงินในประเทศ โดยช่วงที่ผ่านมาได้เริ่มมีการทำธุรกรรมจริงที่อ้างอิง THOR แล้ว สำหรับในระยะต่อไป ธปท. มีแผนที่จะพัฒนาอัตราดอกเบี้ย THOR ให้เป็นที่แพร่หลายและมีสภาพคล่องมากขึ้น