ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ทิศทางค่าเงินบาทอาจมีความผันผวนสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทย รวมถึงอาจสร้างความท้าทายแก่การดำเนินนโยบายการเงินของทางการไทยในระยะข้างหน้า แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.0-0.25% สำหรับการประชุมนโยบายการเงินที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 กันยายนนี้ เนื่องจากนโยบายการเงินของเฟดและธนาคารกลางหลักต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ คงต้องติดตามปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงิน เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดซ้ำของโควิด-19 โดยเฉพาะช่วงที่จะเข้าใกล้ฤดูหนาว ประเด็นทางการเมืองในสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ และประเด็นเบร็กซิทที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจไทยและสถานการณ์การเมืองไทยที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เฟด จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.0-0.25% เนื่องจากมองว่าเฟดได้ใช้เครื่องมือต่างๆ เท่าที่จำเป็นในการช่วยประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ แล้ว โดยที่ผ่านมาเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนอยู่ที่ระดับใกล้ศูนย์ ประกอบกับมีการดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ในการอนุมัติการปรับยุทธศาสตร์นโยบายการเงินและเป้าหมายในระยะยาว โดยปรับเปลี่ยนมาใช้เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย (Average Inflation Targeting) แทนเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเดิมที่คงที่ โดยระบุว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและอัตราว่างงานเริ่มปรับลดลง เฟดจะไม่จำเป็นต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมระดับเงินเฟ้อให้อยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2% ซึ่งถึงแม้นโยบายดังกล่าวอาจไม่มีประสิทธิผลโดยตรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เป็นการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของสหรัฐฯ
ถึงแม้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแรงท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แต่คาดว่าเฟดน่าจะยังไม่พิจารณาใช้นโยบายการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve control) ในระยะอันใกล้ ขณะที่นโยบายดอกเบี้ยติดลบคงไม่ใช่ทางเลือกที่เฟดต้องการใช้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากนโยบายดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงิน อีกทั้งเฟดน่าจะยังคงมุ่งเน้นการคงดอกเบี้ยในระดับใกล้ศูนย์ ประกอบกับการดำเนินนโยบาย QE อย่างต่อเนื่อง โดยสอดประสานกับนโยบายทางการคลัง เพื่อประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้