พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นำทีมเศรษฐกิจ ประกอบไปด้วยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้ได้นำทีมเศรษฐกิจมาแนะนำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกคน ว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่ และแก้ปัญหา เศรษฐกิจให้ได้อย่างระมัดระวังที่สุด ครอบคลุมทุกกลุ่มทุกมาตรการ
โดยในการประชุมวันนี้ ครม.ได้อนุมัติมาตรการด้านเศรษฐกิจ 3 มาตรการที่ช่วยกระตุ้นรายได้ในประเทศ คือ มาตรการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ประชาชน 14 ล้านคน คนละ 1,500 บาท รวม 3 เดือน , มาตรการ "คนละครึ่ง" เป็นการกระตุ้นค่าใช้จ่าย ซึ่งรัฐกับประชาชนออกคนละครึ่ง โดยเน้นไปยังร้านค้าปลีก แต่ต้องมีขึ้นทะเบียน และเป็นการจ่ายเงินโดยตรง ผ่านอี- วอลเล็ต และมาตรการ "ช้อปดีมีคืน" ซึ่งประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่าย จากการซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษีได้ 30,000 บาท
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มาตรการที่ออกมาทั้งหมด เป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม ซึ่งทั้ง 3 มาตรการ มีเป้าหมายดึงเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการหมุนเวียนทั้งระบบ ทั้งการผลิต การจ้างงาน ทำให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ แต่หากนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ก็จะส่งผลต่อปัญหาของหนี้ครัวเรือน ดังนั้น ต้องใช้แนวทางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
อย่างไรก็ตาม จะมีมาตรการอื่น ๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของไทยให้ได้ ซึ่งจากการติดตามการแก้ไขปัญหาของทั่วโลก และเมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางของไทยก็มีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ในบางประเทศ มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าไทย มีเงินมากกว่าเรา แต่ไทยต้องใช้เงินให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่ ซึ่งทุกประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ และหลายประเทศก็แย่กว่าไทย และไทยยังมีศักยภาพอยู่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขออย่าทำลายศักยภาพของไทยเอง ด้วยเรื่องที่ไม่ควรจะทำ เพราะหากความเชื่อมั่นหายไป ก็ไม่สามารถดึงกลับมาได้ จะเกิดความเสียหาย เพราะขณะนี้อยู่ในช่วงการแข่งขันในการแก้ปัญหาโควิด-19 เป็นช่วงดำเนินการหลังโควิด-19 เพราะถ้าหากทำลายกันตอนนี้ ถึงเวลาจะฟื้นกลับมาไม่ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภารกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ มุ่งเน้นการดูแลบรรเทาปัญหา เศรษฐกิจ ปากท้อง ช่วยคนไทย ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก รวมถึงช่วยคนไทยกลับประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) และรัฐบาลกำลังดำเนินการ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก และปรับปรุงมาตรการต่างๆให้ดีขึ้น และออกมาตรการใหม่ๆเพิ่มเติม โดยต้องทำหลายมาตรการไปพร้อมกัน ซึ่งมีเป้าหมายหลัก คือการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้พอมีเงินใช้จ่าย ได้ และช่วยให้มีคนมีรายได้มากให้คนมีเงิน ออกมาใช้เงิน เพื่อหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ด้านนายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจได้รมว.คลังมาเติมเต็ม จากนี้จะเดินหน้าแก้ปัญหาตามมาตรการและเป้าหมายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้กำชับให้ช่วยกันสนับสนุนมาตรการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจข้างต้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างเต็มที่ในทุกกลุ่ม ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ดังนั้นการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆนี้จะเห็นความเชื่อมโยงและความต่อเนื่อง ในช่วงไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ โดยเม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรวมกันประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นงบประมาณของรัฐประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะหามาตรการดีๆมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพยายามรักษาเสถียรภาพ และวินัยการเงินการคลังของประเทศให้ดีที่สุด เพื่อภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายและควบคุมการระบาดได้ดี ประเทศจะได้มีความเข้มแข็งและแข็งแกร่งทางการเงินที่จะเดินหน้าและเติบโตต่อไปได้