นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ระหว่างเดือนม.ค.-ก.ค.63 ว่า มูลค่าการใช้สิทธิฯ รวมเท่ากับ 35,421.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 77.94% แบ่งเป็น มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 32,875.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) 2,546.60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยภาพรวมการใช้สิทธิประโยชน์ฯ 7 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 14.77%
การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงทางการค้าเสรีในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 มีมูลค่า 32,875.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 15.88% มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 77.69% โดยตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ภายใต้ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) จีน (มูลค่า 11,152.89 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 2) อาเซียน (มูลค่า 10,798.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 3) ญี่ปุ่น (มูลค่า 3,890.21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 4) ออสเตรเลีย (มูลค่า 3,426.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และ 5) อินเดีย (มูลค่า 1,784.67 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิ-ประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ไทย-ชิลี (100%) 2) อาเซียน-จีน (91.62%) 3) ไทย-เปรู (89.56%) 4) ไทย-ญี่ปุ่น (83.83%) และ 5) อาเซียน-เกาหลี (73%) สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง อาทิ ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ฝรั่ง มะม่วง มังคุด ยานยนต์เพื่อขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน ยานยนต์สำหรับขนส่งบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป มันสำปะหลัง เป็นต้น
การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ทั้ง 4 ระบบ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ ในช่วงม.ค.-ก.ค.63 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 2,546.60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 2.61% และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 81.32% ตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ มากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 2,243.21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.49% และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 83.24% อันดับสองคือ สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 200.24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29.17% และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 62.66% อันดับสามคือ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 84.64 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.92% และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 84.60% และนอร์เวย์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 18.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 34.72% และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 100% สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง อาทิ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ กรดซิทริก เลนส์แว่นตาทำด้วยวัสดุอื่นๆ ฐานรองฟูกทำด้วยยางเซลลูลาร์หรือพลาสติก เป็นต้น
สำหรับสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม เกษตรแปรรูป ไทยยังคงเป็นครัวของโลกที่มีศักยภาพในการผลิตและส่งออกสินค้าดังกล่าวได้อย่างหลากหลาย และสามารถส่งออกไปหลายประเทศคู่ค้าได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว โดยสินค้าที่ยังคงขยายตัวได้ดี อาทิ เครื่องดื่มที่ไม่เติมแก๊ส เช่น นม (อาเซียน) ผลไม้สด (อาเซียน) อาหารปรุงแต่ง (อาเซียน) น้ำผลไม้ (อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์) ปลาทูน่าปรุงแต่ง (อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์) อาหารปรุงแต่งที่ทำจากเกล็ดธัญพืช (อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์) เต้าหู้ปรุงแต่ง (ไทย-ออสเตรเลีย) ซอสปรุงแต่ง (ไทย-ออสเตรเลีย) ทุเรียนสด (อาเซียน-จีน) ฝรั่ง มะม่วง มังคุด (อาเซียน-จีน) กุ้ง (อาเซียน-จีน) ข้าวโพดหวาน (อาเซียน-เกาหลี) ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก และปลาโบนิโตชนิดซาร์ดา (ไทย-เปรู, รัสเซียและเครือรัฐเอกราช) สับปะรดปรุงแต่ง (ไทย-ชิลี, รัสเซียและเครือรัฐเอกราช) ไก่ชนิดแกลลัสโดเมสติกัส (ไทย-ญี่ปุ่น) เป็นต้น