นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้กำหนดภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการในปี 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเป็นหลัก เนื่องจากที่ผ่านมา ประเทศไทยและทั่วโลกประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ทิศทางการดำเนินงานของภาครัฐเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะด้านสุขอนามัยของประชาชน ด้านการแพทย์ และการสาธารณสุข ขณะที่การดำเนินงานด้านการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจของประเทศก็ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องและมีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบเศรษฐกิจที่กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
นายทศพล กล่าวว่า การบริหารงานภายในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะมีการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ โดยจะสร้างบรรยากาศการทำงานแบบทีมเวิร์ค บูรณาการการทำงานเข้าด้วยกัน เกื้อกูลสนับสนุนกัน ผสานให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งภายนอกและภายในองค์กร ข้าราชการและบุคลากรของกรมฯ ทุกคนทุกระดับจะทำงานด้วยความโปร่งใส และต้องมีการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จขององค์กรร่วมกัน
สำหรับภารกิจสำคัญเร่งด่วน 3 ด้าน ที่จะดำเนินการในปี 2564 นี้ ประกอบด้วย
1) การดูแล SMEs และเศรษฐกิจฐานรากของประเทศแบบเข้มข้น เพื่อให้เป็นหัวใจหลักในการสร้างรายได้และขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภายในประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง โดยเฉพาะผู้ประกอบการสินค้าชุมชน โอทอป และสินค้าเกษตร เน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้และส่งเสริมให้เข้าสู่ช่องทางการตลาดที่ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการ และเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ในรูปแบบ Omni Channel (การขายแบบ 2 ทาง) ผ่านการจำหน่ายบนห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ห้างสรรพสินค้า สนามบิน สถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้าส่ง-ค้าปลีกชุมชนทั่วประเทศ รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ผ่านเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ทั่วประเทศ เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น
การสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจด้วยธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (เช่น ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ และธุรกิจร้านอาหาร) ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ และจะเชื่อมโยงธุรกิจ Startup กับ SMEs ส่งเสริมให้ SMEs ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม เทคโนโลยี ยกระดับและปิดจุดอ่อนการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความเข้มแข็ง นอกจากนี้ การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกไทย ด้วยการยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการร้านค้าส่งค้าปลีกตามเกณฑ์มาตรฐาน และพัฒนาสู่การเป็นสมาร์ทโชวห่วย ให้ร้านโชวห่วยในพื้นที่เป็นกลไกกระจายรายได้และกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากเป็นแหล่งจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคของชุมชน เป็นช่องทางการกระจายสินค้าโอทอป และสินค้าชุมชนต่างๆ และเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญ
2) การสร้างบรรยากาศที่ดีในการดำเนินธุรกิจของไทย สร้างธุรกิจธรรมาภิบาลไทย สร้างความเชื่อมั่นให้คู่ค้า (Business Governance) โดยจะเน้นทั้งการกำกับดูแลให้ภาคธุรกิจปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง รวมถึงการส่งเสริมให้ธุรกิจนำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ในการประกอบธุรกิจมากขึ้น โดยยกระดับธุรกิจตามเกณฑ์มาตรฐานที่กรมฯ ได้จัดทำขึ้น (อิงเกณฑ์มาตรฐานสากล) เพื่อเป็นธุรกิจต้นแบบ นอกจากนี้ จะใช้ระบบบัญชีมาตรฐานเข้ามาช่วยในการสร้างธรรมาภิบาลแก่ภาคธุรกิจ โดยให้สามารถจัดทำบัญชีผ่านทางแอพพลิเคชั่น หรือทางออนไลน์ และสามารถนำส่งงบการเงินประจำปีได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนนำข้อมูลทางบัญชีที่ได้ช่วยในการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมหรือพัฒนาธุรกิจของตนเอง รวมทั้งยกระดับขีดความสามารถด้านบัญชีของผู้ประกอบการ เช่น การพัฒนาสำนักงานบัญชีสู่เกณฑ์คุณภาพ การส่งเสริมสำนักงานบัญชีคุณภาพสู่สำนักงานบัญชีดิจิทัล และสร้างนักบัญชีคุณภาพรุ่นใหม่ (Young & Smart Accountant) ร่วมกับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ
3) เดินหน้าพัฒนางานบริการด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ลดข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ เช่น การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการจองชื่อนิติบุคคล การพัฒนาระบบการออกหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (e-Foreign Certificate) อำนวยความสะดวกนักลงทุนชาวต่างชาติ การผลักดันการใช้ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นประเทศที่ง่ายต่อการประกอบธุรกิจ และน่าลงทุนให้มากยิ่งขึ้น
พร้อมทั้ง มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพฐานข้อมูลกลางของกรมฯ ให้เป็น Big Data สำหรับผู้ประกอบการและระบบการค้าของไทย รวมถึงการให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลสู่หน่วยงานภาครัฐมากยิ่งขึ้น เพื่อการบริการประชาชนและภาคธุรกิจ จนเป็นโครงข่ายที่ทรงพลังนำมาซึ่งพันธมิตรทางการค้า และสามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจไทยในระยะยาว