สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ก.ย.63 อยู่ที่ระดับ 94.71 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -2.75% แต่เพิ่มขึ้น 3.25% จากเดือนส.ค.63 โดยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิต อยู่ที่ 63.07% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับระดับในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคเป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนดัชนี MPI ช่วงไตรมาส 3/63 อยู่ที่ระดับ 91.22 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -8.30% แต่เพิ่มขึ้น 13.73% จากไตรมาส 2/63 โดยอัตราการใช้กำลังการผลิต อยู่ที่ 60.50%
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมหลักที่มีการขยายตัวส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคเป็นหลัก อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) ขยายตัว 2.40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัว 5.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังรัฐบาลออกมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 ทั้งมาตรการด้านการเงินและการคลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการ
ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมหลักๆ ได้เริ่มฟื้นกลับมาโดยเพิ่มกำลังการผลิตอีกครั้ง เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ได้เพิ่มกำลังการผลิตในเดือนกันยายนมาอยู่ที่ระดับ 76.98 จากระดับ 59.81 ในเดือนก่อน โดยมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากทั้งตลาดในประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมที่ 13.10% และตลาดส่งออกขยายตัว 11.40% โดยอุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวดีในเดือนกันยายน ได้แก่
- เภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 30.20 เนื่องจากในปีก่อนได้มีการหยุดผลิตเพื่อย้ายโรงงาน ประกอบกับได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ
- เครื่องใช้ในครัวเรือน ขยายตัว 34.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลิตภัณฑ์ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า โดยตู้เย็น มีความต้องการเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับได้มีผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิตมาจากประเทศจีนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ในขณะที่เครื่องซักผ้าได้มีการเปิดช่องทางการตลาดใหม่ ทำให้มีคำสั่งซื้อจากตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งออกเพิ่มขึ้น ไปยังประเทศมาเลเซียและญี่ปุ่น
- แปรรูปและถนอมผลไม้และผัก ขยายตัว 27.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง และข้าวโพดหวานเป็นหลัก เนื่องจากปีนี้มีการปลูกสับปะรดในหลายพื้นที่ทำให้ยังมีผลผลิตในการเก็บเกี่ยวนอกฤดูกาล รวมถึงการขยายพื้นที่เพาะปลูกของข้าวโพดของเกษตรกร
- เฟอร์นิเจอร์ ขยายตัว 13.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนทำด้วยไม้และที่นอน เนื่องจากผู้ผลิตได้เร่งผลิตให้ทันส่งมอบตามคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นจากการกักตัวอยู่บ้านในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะที่สินค้าที่นอนได้มีการเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์
- อาหารสัตว์สำเร็จรูป ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.18 จากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูปและอาหารปลา เนื่องจากความต้องการมีการเติบโตขึ้นต่อเนื่องในตลาดต่างประเทศ ประกอบกับในปีก่อนเกิดภาวะภัยแล้งทำให้มีการเลี้ยงปลาน้อยกว่าในปีนี้
นายทองชัย กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากที่ภาครัฐมีการคลายล็อกกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมดให้สามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้
"การที่รัฐบาลมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงเข้ามา และสามารถป้องกันโควิด-19 ได้ดี มีส่วนช่วยทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และคาดว่าดัชนี MPI ในเดือนต.ค. และพ.ย. น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม และ MPI ทั้งปีมีโอกาสหดตัว -8 ถึง -9% ตามเป้าหมายที่วางไว้"
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต่างประเทศยังคงประสบปัญหาในการควบคุมการแพร่ระบาดอยู่ อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการบริโภคภายในประเทศ ประกอบกับใช้จุดเด่นที่ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศในการยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าไทย โดยทางบริษัท เทสล่า จะมีหารือผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนท์ กับทางกระทรวงอุตสาหกรรมในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ส่วนการชุมนุมทางการเมือง นายทองชัย มั่นใจว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อดัชนี MPI ซึ่งอยากให้ทุกฝ่ายสร้างความเข้าใจกันและทำให้ประเทศดีขึ้น
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี ภาคการผลิตอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงก่อนเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในขณะที่ต่างประเทศยังคงน่ากังวลอันเนื่องจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบที่สองโดยเฉพาะในโซนยุโรป ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น โดยภาครัฐได้เตรียมดำเนินนโยบายกระตุ้นการบริโภคภายประเทศผ่านโครงการคนละครึ่ง โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการช้อปดีมีคืนเพื่อสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศในช่วงสิ้นปี ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ขยายตัวเพิ่มขึ้น
ในขณะที่การออกวีซ่าพิเศษให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเป็นการดึงให้นักลงทุนสามารถเข้ามายังประเทศไทยได้ นับเป็นโอกาสที่ประเทศไทยมีจุดเด่นทั้งทางด้านสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานในเขตเศรษฐกิจพิเศษดึงดูดให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคตและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทั่วโลก