นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ เตรียมเปิดให้จองสิทธิในโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุรามาฯ-ธนารักษ์ บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สป.623 (บางส่วน) ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เนื้อที่ 20 ไร่ ระหว่างวันที่ 9-30 พ.ย.63 จำนวน 921 ยูนิต โดยมีราคาห้องพักเริ่มต้น 1.82-2.99 ล้านบาท (ราคารวมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า) โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการนำร่อง เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) ของประเทศไทย และเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก จากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนที่ราชพัสดุที่มีศักยภาพ
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้กลางปี 2564 และจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2565 หลังจากนั้นผู้ที่ได้รับสิทธิสามารถเข้าอยู่ได้ทันที
"คาดว่าโครงการนี้จะได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างดี หากมีการจองสิทธิและตรวจสอบคุณสมบัติผ่านมากกว่าจำนวนที่กำหนด จะใช้วิธีจับฉลาก ส่วนที่เกินจะถูกจัดเป็นกลุ่มสำรอง หากตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้งแล้วมีผู้ไม่ผ่านเกณฑ์ ก็จะให้สิทธิกับกลุ่มสำรองก่อน" อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าว
พร้อมระบุว่า หากพิจารณาแล้วพบว่าโครงการได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ก็อาจจะมีการเปิดเฟส 2 ซึ่งปัจจุบันกรมธนารักษ์ได้เตรียมที่ดินราชพัสดุเพื่อรองรับการดำเนินโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุ เฟส 2 ไว้เรียบร้อยแล้ว
สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถจองสิทธิได้ 2 ช่องทาง คือ 1. จองผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยให้ผู้สูงอายุหรือตัวแทนแสดงความประสงค์และจัดส่งเอกสารผ่านเว็บไซต์ของกรมธนารักษ์ http://www.treasury.go.th หรือสำนักงานกรมธนารักษ์พื้นที่สมุทรปราการ http://samutprakan.treasury.go.th และเว็บไซต์เครือข่ายพันธมิตรโครงการ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล http://med.mahidol.ac.thและ ธพส. http://www.dad.co.t
หรือจองผ่านเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย (วอล์ค อิน) ได้แก่ กรมธนารักษ์ ซอยอารีย์สัมพันธ์ ถนนพระรามที่ 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กทม. และที่ ธพส. ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. เฉพาะวันและเวลาราชการ 08.30 น.-16.30 น. เท่านั้น เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้จัดส่งเอกสารผ่านระบบให้แก่ผู้สูงอายุแต่ละราย
สำหรับคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 58 ปี ณ วันที่จองสิทธิ และ/หรือมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ณ วันที่เข้าพักอาศัยจริง และต้องมีสุขภาพแข็งแรง ช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองได้ดี ไม่มีโรคหรืออาการของโรคอันเป็นอุปสรรคในการเข้าพักอาศัยภายในโครงการ โดยผู้สูงอายุจะต้องผ่านการคัดกรองสุขภาพตามหลักเกณฑ์ของคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลก่อนจึงจะสามารถเข้าพักอาศัยได้ และสามารถพักอาศัยได้ไม่เกิน 2 คนต่อยูนิต โดยให้ผู้ที่มีคุณสมบัติหลักเป็นสัญชาติไทยอย่างน้อย 1 คน
รวมทั้งสามารถยอมรับเงื่อนไขค่าใช้จ่ายตามที่โครงการกำหนด หรือยอมรับเงื่อนไขการขอสินเชื่อจากธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย (KTB) และไม่สามารถซื้อขายหรือโอนสิทธิการเช่าให้บุคคลอื่นได้ เว้นแต่ขายคืนให้แก่ผู้บริหารโครงการ แต่หากผู้ได้สิทธิ์ ประสงค์จะออกจากโครงการก่อนระยะเวลาเช่า 30 ปี หรือเสียชีวิต สิทธิการพักอาศัยจะถูกระงับทันทีโดยไม่ตกทอดแก่ทายาท ซึ่งผู้บริหารโครงการจะมีข้อกำหนดในการคืนเงินของผู้ได้รับสิทธิอยู่อาศัยให้กับผู้รับผลประโยชน์
ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณะบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โครงการนี้จะจัดทำให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ โดยกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถใช้บริการของสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ซึ่งอยู่ห่างเพียง 800 เมตร และมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่อื่น ๆ อยู่ใกล้เคียงด้วย และจะมีการจัดทำศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุแบบครบวงจรและบริบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Nursing Home) เพื่อรองรับผู้สูงอายุที่เข้าสู่ภาวะต้องพึ่งพิง หรือติดเตียงและเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย จำนวน 500 ยูนิต
นอกจากนี้ จะมีการจัดทำโครงการส่งเสริมสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ โดยใช้ระบบสมาชิก หรือรูปแบบผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Health Package) ให้เลือก และจะมีพื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับให้บริการผู้สูงอายุที่พักอาศัย เนื้อที่ประมาณ 4-5 ไร่ รวมทั้งจะมีการจัดทำศูนย์เพื่อฝึกอาชีพให้กับผู้สูงอายุที่ต้องการอีกด้วย