นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กรมบัญชีกลางว่า ได้มอบหมายนโยบายเร่งด่วนให้กรมบัญชีกลาง 5 เรื่อง ได้แก่ 1. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ 2564 ให้ได้ตามเป้าหมาย โดยส่วนราชการต้องเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าหมายที่ 95% และรัฐวิสาหกิจต้องเบิกจ่ายให้ได้ 100% โดยกระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้มีการตั้งคณะกรรมการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อติดตามโครงการขนาดใหญ่ให้เบิกจ่ายได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากงบประมาณปี 2564 มีความล่าช้ามาแล้วประมาณครึ่งเดือน
2. ให้กรมบัญชีกลางตอบสนองนโยบายรัฐบาลในโครงการต่าง ๆ ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการชิมช้อปใช้ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง และโครงการช้อปดีมีคืน เป็นต้น
3. สวัสดิการผู้สูงอายุ และคนพิการ ห้ามเบิกจ่ายล่าช้าหรือขาดตอน การโอนเงินต้องเร็ว เพราะเป็นเงินที่ผู้สูงอายุและคนพิการควรจะได้ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
4. เพิ่มประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยีของกรมฯ ซึ่งมีข้อเสนอจากนักลงทุนต่างชาติให้มีการลดขั้นตอนในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างระหว่างภาครัฐกับภาคธุรกิจ (G2B) เพื่อให้มีความคล่องตัว และเพิ่มขีดความสามารถ ซึ่งจะมีผลต่อการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจของธนาคารโลก
5. พัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องมีการแก้ไขกฎกระทรวงให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการในโครงการที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่ ซึ่งมีการเปลี่ยนมาใช้ระบบอาณัติสัญญาณ ขยายขอบเขตความเชี่ยวชาญโครงการก่อสร้างสนามบิน รวมทั้งโครงการท่าเรือ โดยเฉพาะโครงการลงทุนอีอีซี และการก่อสร้างอุโมงค์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง
รมว.คลัง ยังกล่าวถึงกรณีที่นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ว่า ต้องรอติดตามนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ก่อน อย่าเพิ่งรีบวิพากษ์วิจารณ์อะไรตอนนี้ แต่เมื่อพิจารณาตามนโยบายหาเสียงของนายโจ ไบเดน ในช่วงที่ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งเน้นเรื่องนโยบายภาษี รวมถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายภาษีและการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มองว่าเป็นข้อดีที่ไทยจะได้ประโยชน์ตรงนี้ โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะส่งผลให้นักลงทุนมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ก็ต้องขอรอดูความชัดเจนของนโยบายของนายโจ ไบเดนอีกครั้ง