ส.อ.ท.มองตัวเลขส่งออก ก.ค.ผิดปกติ เตรียมถามข้อเท็จจริงจากคลัง-พาณิชย์

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 23, 2007 17:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่ตัวเลขการส่งออกในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาขยายตัวเพียง 5.9% นั้นถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะปรับลดลงจากเดือนก่อนอย่างรวดเร็ว โดยมีบางรายสินค้าที่ตัวเลขไม่ตรงกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากร อาทิ การส่งออกข้าวกระทรวงพาณิชย์รายงานว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่กรมศุลกากรรายงานว่าปรับตัวลดลง ทำให้มูลค่าการส่งออกหายไปกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมวันพรุ่งนี้(24 ส.ค.) คงจะมีการสอบถามตัวเลขที่แท้จริงกับทางกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังด้วย
รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติการลดหย่อนภาษีตั้งแต่เดือน ก.พ.แต่กระทรวงการคลังยังไม่สามารถปฏิบัติได้จริงเพราะอยู่ในขั้นตอนการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน และจะมีการหารือถึงมาตรการส่งเสริมให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนยังต่างประเทศและความคืบหน้ากองทุน SME จำนวน 5 พันล้านบาท
ส่วนการส่งออกครึ่งปีหลัง ส.อ.ท.คาดการณ์ว่า จะขยายตัวประมาณ 10% ซึ่งเมื่อรวมกับครึ่งปีแรกที่การส่งออกขยายตัวประมาณ 18.6% ทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 12.5% ตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ โดยในส่วนของการส่งออกภาคอุตสาหกรรมที่ยังขยายตัวได้ดี อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ครึ่งปีแรกขยายตัวประมาณ 20% โดยเฉพาะในเดือน ก.ค.การส่งออกรถยนต์ขยายตัวถึง 38%
นายสันติ กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทปัจจุบันที่ระดับประมาณ 34.5 บาท/ดอลลาร์ เอกชนถือว่าน่าพอใจ เพราะเริ่มมีเสถียรภาพอยู่ในระดับที่เอกชนปรับตัวรับได้ จากก่อนหน้านี้ที่แข็งค่าที่ 33 บาท/ดอลลาร์ เป็นผลจากมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศออกมา
โดยภาคเอกชนมองว่าในไตรมาส 4 ของปีนี้การส่งออกและเศรษฐกิจในประเทศความมั่นใจของผู้บริโภคจะกลับมา เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านการพิจารณาทำให้การเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นได้ภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าเป็นอย่างช้า รวมถึงงบประมาณใหม่จะเริ่มเบิกจ่ายการปรับขึ้นเงินเดือนราชการจะมีผลทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นกลับมาได้
ด้านปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพของสหรัฐหรือซับไพร์ม นายสันติ กล่าวว่า ภาคเอกชนก็ยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เพราะหากปัญหาลุกลามก็อาจจะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาดสหรัฐลดลง แต่หากสถานการณ์คลี่คลายลงก็อาจจะทำให้เงินไหลกลับเข้ามาในประเทศไทยทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ