นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 23 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนจากทั้ง 10 ประเทศ
นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้เน้นย้ำความร่วมมือในฐานะมิตรประเทศของอาเซียน โดยญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่นอย่างรอบด้าน โดยยืนยันพร้อมทำงานร่วมกับอาเซียนในกรอบความร่วมมือที่เปิดกว้างและเสรี ตลอดจนพร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นในภูมิภาค ในบริบทของโควิด-19 ญี่ปุ่น และพร้อมสนับสนุนการทำงานของศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยืนยันจะส่งเสริมความเป็นเอกภาพของอาเซียน และพร้อมร่วมมือเพื่อให้พื้นที่อินโด-แปซิฟิก มีความมั่งคั่งและเสรี
อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งปีนี้โลกและภูมิภาคได้เผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ทั้งโควิด-19 ซึ่งเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในสภาวะถดถอย ตลอดจนความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค ในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่นในอนาคต ไทยมองวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสที่อาเซียนและญี่ปุ่นได้เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ซึ่งกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว คือความร่วมมือภายใต้เอกสารมุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (AOIP) ไทยจึงสนับสนุนข้อเสนอของญี่ปุ่นในการส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมภายใต้เอกสาร AOIP และร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมในเรื่องนี้
พร้อมทั้งเสนอให้อาเซียนและญี่ปุ่น มุ่งเน้นเป้าหมายและสาขาความร่วมมือที่สอดคล้องกับบริบทของโลกในปัจจุบัน 3 ประการ คือ ภูมิภาคที่มั่นคง เศรษฐกิจที่มั่งคั่ง และสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งภูมิภาคที่มั่นคงนั้น ต้องยึดมั่นในวัตถุประสงค์ตามเอกสาร AOIP ที่จะสร้างภูมิภาคที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิด โดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง และมุ่งขยายความร่วมมือบนพื้นฐานของหลักการร่วมกัน
ส่วนเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง ก็ด้วยการเสริมสร้างการบูรณาการทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค โดยไทยยินดีต่อการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และมุ่งหวังให้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไทยให้ความสำคัญต่อการนำถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยความเชื่อมโยงที่ได้รับรองเมื่อปีที่แล้ว มาดำเนินการให้เป็นรูปธรรม โดยเน้นการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ
ทั้งนี้ ไทยและอาเซียนยังคงยินดีต้อนรับนักลงทุนและนักธุรกิจญี่ปุ่น อีกทั้งไทยพร้อมร่วมมือในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและรับมือกับ 4IR
สำหรับสังคมที่ยั่งยืนนั้น ต้องเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข ซึ่งไทยและหลายประเทศในอาเซียนพร้อมที่จะเป็นที่ตั้งของศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ โดยจะสนับสนุนบุคลากรและงบประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และจะหารือกับประเทศสมาชิกเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป นอกจากนี้ ไทยพร้อมสานต่อความร่วมมือด้านปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการขยะทะเล ซึ่งสอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างกรอบปฏิบัติการอาเซียนด้านขยะทะเลกับกรอบความร่วมมือ G20 ของญี่ปุ่นในเรื่องนี้