นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาถกฐาในงานสัมมนา "Bangkok Post International Forum 2020 หัวข้อ Beyond Post Pandemic : A Decade of Challenges from 2021" ว่า นโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลภายหลังการระบาดของโควิด-19 จะเน้นการการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกคน และผ่านการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่ไปกับการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญทั้งจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งต่าง ๆ
รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีงบประมาณ 4 แสนล้านบาทสำหรับการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ จาก พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยจะเน้นในโครงการที่ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน การลงทุนในโครงการ EEC รวมถึงการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยที่ผ่านมา หน่วยงานที่รับผิดชอบได้อนุมัติแผนการลงทุนต่าง ๆ รวมกว่า 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าโครงการทั้งหมดจะไม่ได้แค่ช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตและแข่งขันได้เท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้เศรษฐกิจชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ และการดำเนินการดังกล่าวยังจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ผ่านการเร่งขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยการปฏิรูปโครงสร้างภาษีจะเน้นเรื่องการส่งเสริมพลังงานสะอาด ส่งเสริมสุขภาพประชาชน และส่งเสริมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งไทยยังมีศักยภาพที่จะดำเนินการได้ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยมองว่าในทุกครั้งที่มีวิกฤติก็ยังมีโอกาสสำหรับการเติบโตได้เสมอในอนาคต
รมว.คลัง ยังกล่าวถึงโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนผู้มีรายได้น้อยและเศรษฐกิจฐานรากว่า ขณะนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยกระทรวงการคลังเตรียมเสนอรัฐบาลพิจารณาเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. 2564 และในปีหน้ารัฐบาลยังมีความพยายามที่จะผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะประเมินความสำเร็จของมาตรการที่ได้ดำเนินการไปในปีนี้ เพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างถูกทิศทางและเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุดแท้จริง
ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวนั้น หลังจากนี้ประเทศไทยจะทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา แต่จะเป็นไปอย่างรอบคอบและระมัดระวัง หลังจากที่หลายประเทศมีการระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ซึ่งการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังจากนี้จะเน้นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียก่อนเป็นกลุ่มแรก
ส่วนสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ นายอาคม กล่าวว่า กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะทำงานอย่างสอดประสานกันในการดูแลสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นดังกล่าว ซึ่งถือเป็นหน้าที่หลักของ ธปท.ในการดำเนินการเรื่องนี้ โดยคาดว่าหลังจากนี้อาจจะต้องมีมาตรการบางอย่างออกมา แม้ที่ผ่านมา ธปท.จะมีการออกมาตรการเพื่อช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทไปแล้วก็ตาม