นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่าประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในระดับโลกด้านมาตรฐานความปลอดภัยในอาหาร (Food Safety) จากการให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ทำให้สินค้าปศุสัตว์ไทยเป็นที่ต้องการในตลาดโลก สะท้อนจากความสามารถในการส่งออกหมูสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะความสำเร็จที่ไทยสามารถป้องกันโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ หรือ ASF โรคร้ายแรงในสุกรที่สร้างความเสียหายให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรทั่วโลก แต่ไทยยังคงสถานะ "ปลอดโรค ASF" มานานกว่า 2 ปี จนเป็นไข่แดงเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ จุดนี้ทำให้สุกรไทยเป็นที่สนใจของตลาดต่างประเทศ ที่ต้องการนำเข้าสุกรจากฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ที่ปลอดภัย ปลอดโรค "ปลอดสารเร่งเนื้อแดง" เพื่อป้อนผู้บริโภคของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่โดน ASF เล่นงาน ปริมาณผลผลิตในประเทศจึงลดลง ทำให้ราคาหมูมีชีวิตสูงขึ้น ล่าสุดมีข่าวดีจากภาคผู้ผลิตสุกร ที่ได้ลงนาม MOU การส่งออกสุกรไปเวียดนาม กัมพูชา และสปป.ลาว
ความสำเร็จดังกล่าวนี้ เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ผนึกกำลังอย่างเหนียวแน่น จนสามารถป้องกันความเสียหายไม่ให้เกิดกับเกษตรกรและอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมู ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท ที่สำคัญยังช่วยสร้างโอกาสในการส่งออกเฉพาะปี 2563 นี้ ไทยส่งออกสุกรมีชีวิตจำนวนมากกว่า 2.2 ล้านตัว รวมถึงเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์สุกร มีปริมาณมากกว่า 54,000 ตัน มีมูลค่าทะลุ 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 300% จากปีที่ผ่านๆมา
ล่าสุดครม. อนุมัติงบฯกลางของสำนักนายกรัฐมนตรี วงเงิน 1,111 ล้านบาท ให้กับกรมปศุสัตว์ เพื่อใช้ป้องกัน ASF ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (พิกบอร์ด) ถือเป็นการยกระดับการป้องกันที่เข้มงวดขึ้น และยังเป็นแรงหนุนสำคัญในการสร้างปราการป้องโรค ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเข้าไทยได้
ขณะเดียวกัน ทั้งภาครัฐ สมาคมผู้เลี้ยงสุกร ภาคเอกชน และเกษตรกร ยังคงบริหารจัดการผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศเป็นหลัก สำหรับปริมาณการผลิตสุกรขุนของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 55,000 ตัวต่อวัน ขณะที่การบริโภคภายในประเทศอยู่ที่ 50,000 ตัวต่อวัน การผลิตจึงเพียงพอกับการบริโภคภายในประเทศ
สำหรับผลผลิตส่วนที่เกินจากการบริโภคนั้น จะทำการส่งออกในรูปแบบสุกรขุน สุกรพันธุ์ ลูกสุกร ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ เพื่อนำเงินตราเข้าประเทศ โดยมีคณะกรรมการดูแล ทั้ง 5 หน่วยงานคือ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมพัฒนาธุรกิจสุกรไทย และสมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออก ตามมติของพิกบอร์ด โดยมีการรายงานภาวะการส่งออกต่อ รมว.พาณิชย์ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ทุกๆ 15 วัน
"ผู้บริโภคจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนสุกรภายในประเทศ ส่วนเกษตรผู้เลี้ยงก็ไม่ต้องกังวลว่าปริมาณภายในจะเหลือจนส่งผลกระทบต่อภาวะราคาเช่นกัน"