นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงกรณีพบความผิดปกติของธุรกรรมทางการเงินในโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" โดย ททท.ตรวจพบธุรกรรมที่ต้องสงสัยมีแนวโน้มไปในทางฉ้อโกงหลายรูปแบบ ซึ่งมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นโรงแรม ร้านค้า และประชาชนที่ร่วมขบวนการ พบว่ามีโรงแรมที่เข้าข่ายพฤติกรรมต้องสงสัยประมาณ 312 ราย ร้านค้าประมาณ 202 ราย ส่วนผู้ที่ใช้สิทธิตามโครงการฯ ก็ยังคงสามารถเข้าพักหรือใช้สิทธิต่างๆ ตามเงื่อนไขได้เช่นเดิม
นายยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มว่า การดำเนินคดีการทุจริตครั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการกระทำผิดในส่วนของการขยายจำนวนและเวลาการใช้สิทธิของโครงการฯนี้ในเฟส 2 ต่อไป
ทั้งนี้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พบว่ามีกรณีการกระทำที่เข้าข่ายทุจริตในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งมีทั้งในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรม และในส่วนของร้านค้าที่รับชำระผ่านคูปองใช้จ่าย ได้แก่
1.การเข้าเช็กอินในโรงแรมราคาถูก แต่ไม่ได้เข้าพักจริง ซึ่งจะได้ประโยชน์ในการใช้สิทธิคูปองใช้จ่ายวันธรรมดา 900 บาท วันเสาร์-อาทิตย์ 600 บาท
2.โรงแรมขึ้นราคาค่าห้องพัก โดยร่วมมือกับร้านอาหาร หรือร้านค้าที่รับชำระคูปอง ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นการซื้อขายสิทธิการใช้ห้องพัก แต่ไม่ได้เกิดการเดินทางจริง สาเหตุที่ก่อให้สามารถกระทำลักษณะดังกล่าวเป็นเพราะที่ผ่านมามีการปลดล็อกเงื่อนไขให้สามารถใช้สิทธิเดินทางท่องเที่ยวได้ในภูมิลำเนาของตนเอง โดยเป็นการกระทำในแบบผู้ได้สิทธิร่วมมือกับโรงแรม ส่งเลขบัตรประชาชน 4 หลักสุดท้าย และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งสามารถใช้รับรหัส OTP ยืนยัน ถือเป็นการโอนสิทธิได้
3.จองแล้วยังไม่ได้เช็คอิน และยังไม่ชำระเงิน
4.มีการใช้ส่วนต่างของคูปองเพื่อรับส่วนต่างเต็มจำนวนกรณีร้านค้าเพิ่มราคาอาหารไปมากกว่ามูลค่าอาหาร
5.มีการเข้าพักจริง แต่เข้าพักแบบเป็นกรุ๊ปเหมา โดยตั้งราคาห้องพักในระดับสูง และสามารถรับเงินส่วนต่างที่ตกลงกันไว้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงแรมและผู้เข้าพัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรณีที่จองตรงกับโรงแรม
6.โรงแรมที่เปิดขายห้องพักเกินจำนวนจริงที่มี อาทิ มีห้องพักจริง 100 ห้อง แต่เปิดขาย 300 ห้อง ซึ่งจำนวนห้องที่เกินมาจะนำไปขายต่อให้กับโรงแรมอื่น เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ทาง ตร. จะมอบหมายให้กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เป็นผู้รับผิดชอบคดี และเสนอให้ ผบ.ตร. ตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนเพื่อให้พนักงานสอบสวนทั่วประเทศทุกพื้นที่ที่มีร้านค้าหรือโรงแรมที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินคดี ซึ่งตำรวจจะเร่งทำการตรวจสอบและนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
"เราพยายามทำให้เร็วที่สุด เนื่องจากไม่อยากให้โครงการเฟสใหม่ชะลอลงไป และไม่อยากให้มีการทุจริตเกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ฝากเตือนผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชน ที่อาจกระทำโดยเจตนาหรือไม่เจตนา เพราะตำรวจมีวิธีการสืบสวนสอบสวน ซึ่งท่านจะหนีไม่พ้นความผิด อีกทั้งโรงแรมหรือร้านค้าใด ต้องการเข้ามาพูดคุยเป็นการส่วนตัว ตนก็ยินดี สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นความผิดฐานฉ้อโกง เป็นความผิดส่วนตัว แต่รัฐเป็นผู้เสียหาย หากผู้เสียหายยินยอม อาจจะถอนคำร้องทุกข์ได้"