นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2563 พบว่า หด ตัว 3.3% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยหดตัวจากสาขาพืช สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขณะที่สาขาปศุสัตว์ขยายตัว
สาขาพืช หดตัว 4.7% เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีปริมาณน้ำน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พืชสำคัญมีผลผลิตลดลง เช่น ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มังคุด และเงาะ
อย่างไรก็ตาม ยังมีผลผลิตพืชสำคัญที่เพิ่มขึ้น คือ ข้าวนาปี เนื่องจากในช่วงกลางปี 2563 เป็นต้นมา มีปริมาณน้ำฝนมากกว่าในปี 2562 ทำ ให้เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปีรอบ 2 ได้เพิ่มขึ้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีการควบคุมและกำจัดหนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดได้ดี ลำไย เนื่องจากต้นลำไยที่ ปลูกในปี 2560 เริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ และทุเรียน มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาจูงใจให้เกษตรกรมีการบำรุงและดูแลรักษา ประกอบกับมีพื้นที่ปลูกใหม่ ในปี 2558 ที่เริ่มให้ผลผลิตได้ในปีนี้
สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 2.7% จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น มี การจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐาน การเฝ้าระวังและควบคุมโรคระบาดที่ดี ทำให้สินค้าปศุสัตว์สำคัญทั้งไก่เนื้อ ไข่ไก่ โคเนื้อ และน้ำนมดิบ มีผลผลิตเพิ่ม ขึ้น
สาขาประมงหดตัว 2.6% เนื่องจากผลผลิตกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงลดลงตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ จากการสูญเสียตลาดบางส่วน ให้กับประเทศคู่แข่ง ทำให้เกษตรกรมีการปรับลดจำนวนลูกพันธุ์และชะลอการลงลูกกุ้ง ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ขณะที่ประมงน้ำจืดมีผลผลิตลดลงเช่น เดียวกัน โดยเฉพาะปลานิลและปลาดุก เนื่องจากภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้น
สาขาบริการทางการเกษตร หดตัว 3.6% เนื่องจากกิจกรรมการจ้างบริการทางเกษตรต่างๆ ทั้งการเตรียมดิน การดูแลรักษา และการ เก็บเกี่ยวลดลง ตามเนื้อที่เพาะปลูกและเนื้อที่เก็บเกี่ยวของพืชสำคัญที่ลดลง
สาขาป่าไม้ หดตัว 0.5% เนื่องจากผลผลิตไม้ยางพารา ไม้ยูคาลิปตัส ครั่ง และรังนก ลดลง เป็นผลจากการตัดโค่นสวนยางเก่าเพื่อปลูก ทดแทนด้วยยางพันธุ์ดีลดลง ความต้องการไม้ยูคาลิปตัสและครั่งของประเทศคู่ค้าสำคัญลดลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบจากสภาพ อากาศที่แปรปรวน
อย่างไรก็ตาม แม้ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2563 จะหดตัว แต่ด้วยการดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลและ ของกระทรวงเกษตรฯ ทำให้ภาคเกษตรและเกษตรกรไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนโดยการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิ การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาเกษตรกรสู่ Smart Farmer การส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ การตลาดนำการผลิต ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาตรการเยียวยาเกษตรกร จากผลกระทบของโควิด-19 ที่ได้มีการจ่ายเงิน 5,000 บาท ให้เกษตรกรเป็นระยะเวลา 3 เดือน การส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าเกษตรในประเทศ การเพิ่มศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรของไทย ที่มีคุณภาพ มาตรฐานและความเชื่อมั่น ในคุณภาพมาตรฐานของสินค้าเกษตรไทย
สำหรับปี 2564 คาดว่า ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรจะขยายตัวในช่วง 1.3 - 2.3% แต่ยังคงต้องคำนึงถึงปัจจัยและสถานการณ์สำคัญที่ อาจจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ทั้งความแปรปรวนของสภาพอากาศ สถานการณ์การระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช การ ระบาดของโรคในสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของโควิด-19 อัตราแลกเปลี่ยน เพราะหากเงินบาทแข็งค่าขึ้น มากกว่าประเทศคู่แข่ง จะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของสินค้าเกษตรไทย รวมไปถึงราคาน้ำมันดิบที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า เกษตร ซึ่ง สศก. จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
"ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร จะสะท้อนให้เห็นถึงผลการพัฒนาภาคเกษตรในภาพรวม แต่ยังไม่ใช่การบ่งชี้ว่าเกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นหรือ ลดลง นอกจากนี้ การเติบโตของภาคเกษตรในระดับสูง ไม่ได้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของมาตรฐานการครองชีพของเกษตรกรทุกคน เสมอไป ดังนั้น หากต้อง การมองถึงความอยู่ดีกินดีและการกระจายรายได้ของเกษตรกรในประเทศ จะต้องพิจารณาให้ละเอียดลงไปถึงตัวชี้วัดอื่นๆ อาทิ รายได้เฉลี่ยต่อหัวของ เกษตรกร สัดส่วนหนี้สินต่อทรัพย์สิน สัดส่วนเกษตรกรยากจน เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมในแต่ละพื้นที่นั้นมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ สศก. หน่วยงาน เนวิเกเตอร์เศรษฐกิจการเกษตร จะเดินหน้าพัฒนาฐานข้อมูลด้านการเกษตรและเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ไปสู่การเป็น Big Data เพื่อการวิเคราะห์ เศรษฐกิจการเกษตรที่ถูกต้องและแม่นยำ" เลขาธิการ สศก. กล่าว
อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร หน่วย:ร้อยละ สาขา 2563 2564 ภาคเกษตร -3.3 1.3-2.3 พืช -4.7 1.9-2.9 ปศุสัตว์ 2.7 1.0-2.0 ประมง -2.6 0.1-1.1 บริการทางการเกษตร -3.6 0.2-1.2 ป่าไม้ -0.5 1.0-2.0