กรีนสแปนเตือนจีนไม่ยกเลิกคุมเข้มการเมือง-สังคมอาจเสี่ยงกระทบเศรษฐกิจ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday September 19, 2007 10:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด กล่าวยกย่องเศรษฐกิจที่ร้อนแรงของจีนในหนังสือเล่มล่าสุดของตนเอง แต่ได้เตือนผู้นำจีนที่ปฏิเสธที่จะผ่อนปรนการคุมเข้มกิจกรรมทางการเมือง สังคมและอื่นๆ ซึ่งจัดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความสำเร็จของจีน
"เศรษฐกิจจีนยังคงมีการควบคุมอย่างเข้มงวด และผมเกรงว่าจะไม่สามารถรับมือกับหากเกิดปรากฏการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้ระบบอ่อนแอลง อย่างเช่น เหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2544 ที่สหรัฐเผชิญ" ถ้อยความตอนหนึ่งของ กรีนสแปน กล่าว
ในหนังสือ "The Age of Turbulence" กรีนสแปนระบุว่า ระบบของจีนได้ลดพลังอำนาจทางการเมืองของผู้นำสูงสุดที่มาจากการสืบทอดตำแหน่งอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ท่านเหมา เจ๋อตง ผู้ล่วงลับ
"ณ ปลายทางของถนนสายอำนาจที่ลดน้อยลงกว่าที่เคยเป็นมาคือ ถนนเส้นนั้นก็คือรัฐสวัสดิการประชาธิปไตยในรูปแบบของยุโรปตะวันตก" กรีนสแปน กล่าว
อย่างไรก็ดี ถนนสายนี้ยังคงมีอุปสรรคอีกนานับประการที่จะขัดขวางจีนจากการเป็นประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วเช่นเดียวกับหลายชาติในยุโรป โดยกรีนสแปนระบุว่า ทัศนคติหัวโบราณของคนรุ่นเก่า ประชากรขนาดมหึมาในชนบท ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังแหล่งจ้างงาน กระบวนการทางเศรษฐกิจรูปแบบโซเวียตที่ไม่พึงประสงค์ในหลายสาขา และเหนือสิ่งอื่นใดคือการขาดเสรีภาพทางการเมือง
กรีนสแปน เชื่อว่า เสรีภาพทางการเมืองอาจไม่จำเป็นสำหรับกลไกการทำงานของตลาดในระยะสั้น แต่เสรีภาพทางการเมืองมีความสำคัญยิ่งที่จะใช้กำจัดความรุนแรงของอารมณ์จากประชาชนที่ไม่พอใจเกี่ยวกับความอยุติธรรมและความไม่เท่าเทียมกัน
เขากล่าวด้วยว่า จีนได้จำลองการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศไปสู่รูปแบบของกลุ่มประเทศในเอเชียที่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นเสือแห่งเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจที่รุ่งโรจน์ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งสงครามเกาหลีและเวียดนามที่ได้บั่นทอนเศรษฐกิจไปมาก
เสือแห่งเอเชียเริ่มต้นพัฒนาเศรษฐกิจด้วยพื้นฐานของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีต่อประชากรในระดับต่ำ รวมทั้งอ้าแขนรับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการแรงงานที่มีการศึกษาในราคาค่าจ้างที่ไม่สูงนัก
การเดินตามทิศทางดังกล่าว จึงทำให้การของจีนส่งออกทะยานขึ้นจากระดับ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปี 2523 สู่ระดับ 9.70 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2549 หรือเติบโตขึ้นเกือบ 17% ต่อปี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ