ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยบทความ "แก้ปัญหาค่าเงินบาทอย่างยั่งยืน ด้วยระบบนิเวศตลาดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่" ผ่าน "พระสยาม Magazine" ว่า สถิติเงินบาทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า 85% ของการเปลี่ยนแปลงรายวัน ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวไปตามทิศทางของสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค แต่อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญหลายประการที่เป็นปัจจัยเสริมให้เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริง กล่าวคือ
(1) เงินทุนเคลื่อนย้ายขาดความสมดุล โดยประเทศไทยมีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศสูง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ประมาณ 8% ของ GDP ต่อปี ขณะที่มีเงินทุนไหลออกจากไทยไปลงทุนต่างประเทศ เฉลี่ยเพียง 4% ของ GDP ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโดยตรง การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ในต่างประเทศของนักลงทุนไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยสะท้อนได้จากดัชนี home bias1 ที่สูงถึง 95% ซึ่งแสดงถึงความคุ้นเคยกับการลงทุนในประเทศ มากกว่าการลงทุนต่างประเทศอย่างชัดเจน
(2) ภาคธุรกิจสามารถรองรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างจำกัด เนื่องจากมีข้อจำกัดในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยปัจจุบัน ผู้ประกอบการมีการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในสัดส่วนที่ต่ำ เพียงประมาณ 19% ของมูลค่าการส่งออก และ 24% ของมูลค่าการนำเข้า
(3) ต้นทุนการทำธุรกรรมสูง เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้นักลงทุนไทยขาดการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ และผู้ประกอบการไทยมีการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างจำกัด โดยการทำธุรกรรมยังคงกระจุกตัวอยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์ถึง 99% และต้นทุนการให้บริการด้านอัตราแลกเปลี่ยนของไทย ยังคงสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น ค่าธรรมเนียมธุรกรรมการโอนเงินไปต่างประเทศของไทย โดยเฉลี่ยสูงถึง 7% เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่ค่าธรรมเนียมธุรกรรมการโอนเงินเฉลี่ยเพียงประมาณ 3%
(4) ธุรกรรมเงินบาทในตลาดต่างประเทศมีผลต่อค่าเงินสูง ตลาดเงินบาทในต่างประเทศ (offshore market) มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนได้จากสัดส่วนธุรกรรมเงินบาทตลาดต่างประเทศของธุรกรรมเงินบาททั้งหมดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 21% ในปี 2553 เป็น 61% ในปัจจุบัน ซึ่งตลาด offshore มีขนาดใหญ่นั้น จะทำให้ความผันผวนของตลาดการเงินโลกส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้มากขึ้น รวมถึงยังลดทอนความสามารถในการบริหารจัดการค่าเงินของธนาคารกลางด้วย
จากปัญหาที่กล่าวมา ธปท.ให้ความสำคัญในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศตลาดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (FX ecosystem) เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างยั่งยืน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนในการร่วมกันผลักดันแบบบูรณาการเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดย ธปท. แบ่งแนวทางการผลักดันออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
ด้านที่ 1 ผลักดัน new FX investment ecosystem ที่จะสนับสนุนให้เกิดสมดุลของเงินทุนเคลื่อนย้ายผ่านการลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศ โดยอนุญาตให้คนไทยสามารถลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศได้อย่างเสรีมากขึ้น โดยการแก้ไขกระบวนการและหลักเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค เพื่อให้การลงทุนหรือการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศให้ทำได้โดยง่าย และคล่องตัวใกล้เคียงกับสินทรัพย์ในประเทศ
- เปิดเสรีบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit: FCD) ซึ่งอำนวยความสะดวกให้คนไทยใช้บัญชี FCD ในประเทศได้สะดวกขึ้นในการทำธุรกรรมฝาก ถอน และโอนเงินสกุลต่างประเทศระหว่างคนไทยในประเทศด้วยกันเอง โดยไม่จำเป็นต้องแลกเป็นเงินบาท
- ปรับหลักเกณฑ์และกระบวนการลงทุนให้ง่าย อาทิ การเพิ่มวงเงินลงทุนให้นักลงทุนรายย่อยเป็น 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี การยกเลิกวงเงินลงทุนรวมที่ ธปท. จัดสรรให้นักลงทุน ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และการขยายขอบเขตสินทรัพย์เงินตราต่างประเทศที่สามารถนำเสนอขายในประเทศ (local FX product) มีความหลากหลายขึ้น เช่น การซื้อขายทองคำ Exchange Traded Fund (ETF) และ Depository Receipt (DR) ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
- ผลักดันการเพิ่มการลงทุนต่างประเทศของภาคเอกชน ทั้งการลงทุนโดยตรงของผู้ประกอบการ และการลงทุนหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน เช่น กลุ่มประกันชีวิต และกลุ่มกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ด้านที่ 2 การปรับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงิน (new FX regulatory framework) ให้มีความสมดุลมากขึ้นในการดูแลเงินทุนขาเข้าและขาออก และให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเสรีมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทประเทศที่เปลี่ยนไป ทำให้ความจำเป็นในการควบคุมเงินทุนไหลออกลดลง รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถรองรับความผันผวนของค่าเงินได้ดีขึ้น โดยจะดำเนินการพร้อมกันใน 3 มิติ ประกอบด้วย (1) ปรับเกณฑ์เงินทุนเข้า - ออกให้สมดุลมากขึ้น (2) ลดข้อจำกัดในการบริหารความเสี่ยงของภาคเอกชน และ (3) ลดภาระเอกสารที่ต้องแสดงในการทำธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยน
ด้านที่ 3 สนับสนุนให้มีผู้ให้บริการรายใหม่ (service provider landscape) โดยผลักดันให้เกิดการแข่งขันของผู้ให้บริการ เพื่อลดต้นทุนในการทำธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนและเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการมากขึ้น เช่น (1) ขยายขอบเขตการทำธุรกรรมของผู้ให้บริการรายเดิม และสนับสนุนผู้เล่นรายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม non-bank ซึ่งปัจจุบันยังให้บริการได้ในขอบเขตจำกัด และ (2) ปรับบริการให้รองรับบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ เช่น ธุรกรรมออนไลน์ และ digital platform สอดคล้องพฤติกรรมของผู้ใช้บริการที่เปลี่ยนแปลงไป
ด้านที่ 4 ยกระดับการติดตามข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบาย เพื่อดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (surveillance and management) เพื่อให้ภาครัฐรู้เท่าทันความเสี่ยง และมีมาตรการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือในภาวะวิกฤติ เช่น (1) ลดบทบาทธุรกรรมเงินบาทในตลาดต่างประเทศ (offshore market) โดยสนับสนุนให้ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (non-resident) สามารถทำธุรกรรมกับธนาคารในไทยได้สะดวกมากขึ้น (2) พัฒนาระบบติดตามพฤติกรรมของผู้เล่นที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเงินบาท เช่น การลงทะเบียนเพื่อซื้อขายตราสารหนี้ (bond investor registration) และ (3) เตรียมแผนรองรับสถานการณ์วิกฤติที่พร้อมใช้และตรงจุด
กระบวนการผลักดันให้เกิด FX ecosystem ใหม่ ธปท. จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจาก 3 มาตรการแรกที่ประกาศเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ประกอบด้วย (1) เปิดให้คนไทยฝากเงินตราต่างประเทศได้เสรี (2) ปรับกฎเกณฑ์และกระบวนการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และ (3) มีการลงทะเบียนแสดงตัวตนเพื่อซื้อขายตราสารหนี้ ซึ่งกระทรวงการคลัง ก.ล.ต. และ ธปท. ได้ให้ความเห็นชอบร่วมกันที่จะผลักดันมาตรการแบบองค์รวม ทั้งนี้ มาตรการและการดำเนินการในระยะถัดไปจะยังคงเป็นพันธกิจสำคัญของ ธปท. ที่ยังคงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศไทยอย่างยั่งยืนได้