นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชยื เปิดเผยว่า การลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เมื่อเดือนพ.ย.63 จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งความตกลงฉบับนี้ ได้ให้ความสำคัญกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การจ้างงาน และนวัตกรรม ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ของอาเซียนกับคู่เจรจาที่ไม่เคยปรากฏในความตกลงการค้าเสรี (FTA) มาก่อน
โดยความตกลง RCEP นี้ กำหนดให้ประเทศสมาชิกเปิดเผยและแบ่งปันข้อมูลกฎระเบียบทางการค้า เพื่อให้ SMEs สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติของ SMEs จากประเทศต่างๆ ในภูมิภาค RCEP
นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมโยง SMEs กับห่วงโซ่การผลิตโลก และการมีส่วนร่วมของ SMEs ในการค้ารูปแบบใหม่ เช่น การค้าออนไลน์ผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และทรัพย์สินทางปัญญาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำธุรกิจ พัฒนาสินค้าและบริการ
นางอรมน เพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยควรเร่งเตรียมความพร้อม เรียนรู้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทางการค้าต่างๆ ของความตกลงฯ อาทิ การเปิดตลาดการค้าสินค้า อัตราภาษีศุลกากร กฎเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า และสิทธิประโยชน์ รวมทั้งศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดประเทศสมาชิก RCEP เพื่อเตรียมวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ และพัฒนาสินค้าให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด
สำหรับมาตรการเยียวยาผลกระทบ สามารถศึกษาหรือขอคำปรึกษาแนะนำจากหน่วยงานของรัฐ อาทิ การใช้มาตรการปกป้อง (safeguards) ในกรณีที่มีสินค้าเข้ามาในประเทศปริมาณมาก จนก่อให้เกิดความเสียหายกับอุตสาหกรรมในประเทศ และการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (anti-dumping) ในกรณีที่สินค้านำเข้า มีราคาต่ำและทุ่มตลาด จนเกิดความเสียหายกับอุตสาหกรรมในประเทศ
นอกจากนี้ กรมฯ ยังอยู่ระหว่างหารือผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการจัดตั้งกองทุน FTA ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก FTA และพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในโลกการค้าเสรี