นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ราคาทองที่ปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงต้นสัปดาห์นี้จนหลุดแนวรับสำคัญไปแตะระดับต่ำสุดที่ 1,817 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก่อนจะดีดกลับมาที่ 1,856 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่วานนี้ไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ทำให้ทิศทางแกว่งตัวออกข้างเพื่อสะสมกำลัง
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงในระยะสั้นนั้นมาจากการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้น ที่ขานรับการเตรียมถ่ายโอนอำนาจจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาสู่นายโจ ไบเดน ทำให้มีเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งทองคำและพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ถูกเทขาย ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งการที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยกดดันทองในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลดลงของทองคำอาจเป็นการพักตัวเพื่อสะสมกำลัง แต่ในระยะยาวเทรนด์ยังเป็นขาขึ้น เนื่องจากคาดว่าหลังจากนายไบเดนเข้ารับตำแหน่งแล้วก็ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ออกมาเพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) จะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าระบบอยางมหาศาลและเป็นตัวเร่งให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ทองคำจึงยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ปัจจุบันจะเริ่มมีวัคซีนออกมาใช้แล้วในหลายประเทศ แต่ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่สูง อีกทั้งระบบเศรษฐกิจกว่าจะกลับมาปกติยังต้องใช้ระยะเวลา 1-2 ปี ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจึงจะยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไป 1-2 ปี ซึ่งจะทำให้ทองคำยังเป็นขาขึ้นต่อไป
สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในระยะสั้นนั้น แนะนำให้นักลงทุนจับตาแนวรับระยะสั้น 1,840-1,838 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากหลุดแนะนำถอยจุดซื้อไปยังแนวรับ 1,817 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,866-1,856 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากราคายังไม่สามารถยืนที่แนวต้านนี้แนะนำนักลงทุนระยะสั้นขายออกไป หากผ่านได้อาจถือต่อเพื่อรอขายบริเวณแนวต้านถัดไป ส่วนภาพกว้างหากผ่านผ่าน 1,965 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ได้ จะมีโอกาสไปถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์