นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า การส่งออกไทยปี 64 พลิกกลับมาโต 3.6% จากปี 63 ที่หดตัว -7% โดยปัจจัยบวกสำคัญ คือ 1.เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ GDP โลกโต 5.2% ขณะที่ธนาคารคารโลก (World Bank) คาดการณ์ GDP โลกโต 4% และ 2.การฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิดให้กับประชากรโลกอย่างน้อย 40%
รวมถึงประเด็นที่เป็นปัจจัยหนุน จากราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นกว่าปี 63 โดยคาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะอยู่ที่ระดับ 45-50 ดอลลาร์/บาร์เรล และการลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะมีผลให้สินค้าไทยที่อยู่ห่วงโซ่การผลิตสินค้าของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ขยายตัวได้ดีขึ้น โดยสินค้าที่ได้รับประโยชน์ เช่น แป้งมันสำปะหลัง, สินค้าประมง, ผัก-ผลไม้, อาหารแปรรูป, ผลิตภัณฑ์ยาง, ชิ้นส่วนรถยนต์, ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, พลาสติก, กระดาษ สินค้ากลุ่มสุขภาพ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ในปี 64 ยังมีปัจจัยเสี่ยง เช่น 1.การฉีดวัคซีนต้านโควิดไม่ครอบคลุมประชากรโลก 2.เงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง 3.ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าทั้งทางบกและทางน้ำสูงขึ้น 4.ผลกระทบจากการทำ FTA ระหว่างสหภาพยุโรปและเวียดนาม (EVFTA)
"กรณีผลิตวัคซีนโควิด -19 ได้ตามเป้าหมาย (40% ของประชากรโลก) ไทยจะมีมูลค่าการส่งออก 237,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือขยายตัว 3.6% แต่หากไม่สามารถผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้ตามเป้าหมาย และจำนวนผู้ติดโควิดวันละ 7-8 แสนคน ไทยจะมีมูลค่าการส่งออก 227,165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือหดตัว -0.8%" นายอัทธ์ระบุ
ทั้งนี้ ผลกระทบจากการที่ปริมาณวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ไม่เพียงพอจะมีผลต่อการส่งออกของไทย คือ กำลังซื้อจากตลาดต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัว 100% นอกจากนี้ จะทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อสินค้าไทยในตลาดโลก และมีการตรวจเข้มงวดมากขึ้นในสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทย ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสินค้ายังอยู่ในระดับที่สูง
นายอัทธ์ ยังได้แนะถึงแนวทางการทำตลาดสินค้าเกษตรไทยในต่างประเทศด้วยว่า สนับสนุนให้มีการล็อกดาวน์ในพื้นที่ที่ผลิตสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกเป็นระยะเวลา 1 เดือน การผลิตสินค้าควรมีระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ การทำประกันภัยแก่ผู้บริโภคในต่างประเทศ รวมทั้งการติดสติ๊กเกอร์รับรองสินค้าไทย "Covid Free"
สำหรับแนวโน้มเงินบาทปีนี้ มองว่าทิศทางยังแข็งค่าต่อเนื่องจากปลายปี 63 โดยคาดว่าค่าเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 31.00 บาท/ดอลลาร์ (กรอบ 30.00-32.00) แข็งค่าจากทั้งปี 63 ที่ระดับ 31.29 บาท/ดอลลาร์ การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นทุก 1% จะมีผลให้มูลค่าการส่งออกลดลง 0.11%
ส่วนปัญหาตู้สินค้าขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น 3-5 เท่า และส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในปี 64 ลดลง 5,159 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น -2.2% ดังนั้นจึงเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนช่วยเหลือภาระต้นทุนค่าขนส่งทางเรือแก่ผู้ประกอบการส่งออก ตลอดจนการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านภาษี เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น รวมทั้งหาช่องทางระบายสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทย โดยการขนส่งสินค้าทางบกและอากาศ ซึ่งภาครัฐควรทำความร่วมมือกับภาคธุรกิจโลจิสติกส์ในเรื่องของค่าใช้จ่าย
นายอัทธ์ กล่าวด้วยว่า ยังมีปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติมที่ต้องติดตาม เนื่องจากจะมีผลต่อการส่งออกของไทยในปีนี้ คือ นโยบายสำคัญของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ทั้งนโยบายด้านเศรษฐกิจการค้า, ด้านภาษีและการจ้างงาน, ด้านการต่างประเทศ, ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสาธารณสุข
ขณะเดียวกันภายหลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ต้องติดตามผลกระทบของข้อตกลงการค้าและความร่วมมือระหว่างอังกฤษกับสหภาพยุโรป (UK-EU Trade and Cooperation Agreement : TCA) ซึ่งคาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อาการส่งออกของไทยในภาพรวมมากนัก เพราะสิ่งสำคัญคือขึ้นอยู่กับศักยภาพของสินค้าไทยเองมากกว่า, เงินปอนด์จะกลับมาแข็งค่าขึ้น และส่งผลดีต่อการส่งออกไทยไปอังกฤษ, หลังจากนี้จะมีมาตรฐานสินค้าและการกีดกันทางการค้าของอังกฤษเพิ่มขึ้นใหม่ ขณะเดียววกันต้องไม่ประมาทสินค้าจากเวียดนาม เพราะมีต้นทุนต่อหน่วยและค่าขนส่งถูกกว่าสินค้าไทยในตลาดอังกฤษ เป็นต้น
นายอัทธ์ กล่าวด้วยว่า ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องมาจากปีก่อนนั้น เชื่อว่าสินค้าส่งออกของไทยในกลุ่มที่ยังมีศักยภาพดี จะเป็นสินค้าและอาหารที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและสุขอนามัยของผู้บริโภค เช่น ถุงมือยางธรรมชาติ, อาหารเพื่อสุขภาพ, สมุนไพรและเครื่องสำอาง เป็นต้น