น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ในปี 2564 นี้ สนค.จะเดินหน้างานสำคัญ 3 ด้านที่ได้วางรากฐานไว้แล้ว คือ 1.งานยุทธศาสตร์ 2.การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และ 3.การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ แต่จะกำหนดแผนงานให้ตอบโจทย์นโยบาย 14 ประการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้ละเอียดขึ้น และปรับแผนงานให้รองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจการค้าไทยในอนาคต
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า งานสำคัญส่วนแรกคือ การกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายการค้า (Strategy) เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าไทย เช่น สงครามการค้า โรคโควิด-19 เทคโนโลยีสมัยใหม่ และประเด็นด้านสังคมสิ่งแวดล้อมและประชากร โดย สนค. ได้ศึกษาประเด็นเหล่านี้มาเป็นระยะ และในปี 2564 นี้จะรวบรวมงานศึกษาทั้งหมดจัดทำยุทธศาสตร์การค้าฉบับแรกของไทยสำหรับปี 64 - 68 ซึ่งในชั้นนี้มีร่างฉบับแรกแล้ว แต่จะหารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ให้มากที่สุด
โดยรองนายกฯ ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานการดำเนินการหารือ อีกทั้งได้สั่งการให้กำหนดรายละเอียดเป้าหมายด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น การพัฒนาภาคบริการ การเจรจาความตกลงการค้า การจัดทำแผนงานที่หน่วยงานต่าง ๆ ต้องดำเนินการต่อไป เป็นต้น ซึ่งจะเริ่มกระบวนการหารือในปลายเดือนม.ค.นี้ และรายงานต่อคณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ. พณ.) ต่อไป
สำหรับงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในของไทยนั้น สนค. ได้เริ่มวางฐานด้านการสร้างระบบข้อมูลการค้าขนาดใหญ่ (Trade Intelligence System) เพื่อให้ผู้บริหาร เกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ตลอดจนนักวิเคราะห์ด้านต่าง ๆ ใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายการค้าที่เหมาะสมผ่านแพลทฟอร์ม www.คิดค้า.com ซึ่งปี 2564 นี้จะเร่งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภูมิภาคต่างจังหวัดเข้ามาส่วนกลาง และเชื่อมต่อกับข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีระบบข้อมูล Big Data ภาคเกษตร ภายใต้นโยบาย "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" ของรองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ที่ผู้อำนวยการ สนค.เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ ร่วมกับเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ซึ่งจะมีการประชุมนัดแรกในวันที่ 19 ม.ค.นี้ นอกจากงานด้านข้อมูลแล้ว สนค. จะเดินหน้าหารือกับกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ผู้ประกอบการ SME ในต่างจังหวัดเพื่อกำหนดนโยบายสนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจและหาต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เหมาะสมกับการค้าไทย อีกทั้งจะขยายความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMVT เพื่อเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการไทยต่อไป
ส่วนงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) หรือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยพัฒนาเกษตรกรและผู้ประกอบการนั้น โครงการสำคัญของ สนค. ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 คือการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับโดยใช้บล็อกเชน (blockchain) ภายใต้ชื่อ TraceThai.com ซึ่งสินค้านำร่องตัวแรกคือ ข้าวอินทรีย์ โดยในปีนี้จะขยายสินค้านำร่องให้รองรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ ผักผลไม้อินทรีย์ สมุนไพรอินทรีย์
โดย สนค. จะร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่เป็นพาร์ทเนอร์เพิ่มจำนวนเกษตรกรรายย่อย สหกรณ์ และวิสาหกิจกลุ่มต่าง ๆ เข้ามาใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับดังกล่าวมากขึ้น และเชื่อมโยงกับช่องทางการขายเพื่อให้ตรา TraceThai.com และระบบตรวจสอบย้อนกลับเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดในการขายทั้งในประเทศและส่งออก ตามแนวคิดของ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ต่อไป
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า จากนโยบาย 14 ประการของรองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 8 ม.ค.64 นั้น นอกจากงานสำคัญต่อเนื่องข้างต้นแล้ว สนค. จะเพิ่มการวิเคราะห์ศึกษาและทำฐานข้อมูลเพิ่ม เพื่อสนับสนุนงานที่เป็นรายสาขา คือ นโยบาย "อาหารไทย อาหารโลก" ที่จะเพิ่มการผลิตและการส่งออกอาหารฮาลาล อาหารเพื่อสุขภาพ และอาหารเทรนด์ใหม่ ๆ ให้มากขึ้น และนโยบายการพัฒนาภาคบริการ โดยเฉพาะบริการด้านค้าส่งค้าปลีก โลจิสติกส์ บริการด้านสุขภาพ ดิจิทัลคอนเทนต์ ร้านอาหาร และบริการด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเป็นบริการเป้าหมายในการพัฒนาต่อไปด้วย
"มั่นใจว่า แนวนโยบายที่กระทรวงพาณิชย์วางไว้ และ สนค.มีบทบาทสนับสนุนในเชิงยุทธศาสตร์และวิชาการนั้น จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าไทยต่อไปในโลกยุคหลังความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างแน่นอน" ผู้อำนวยการ สนค.ระบุ