แบงก์คาดไทยรับผลดีแน่หลังปัญหาซับไพร์มแนวโน้มคลี่คลายลงแต่จะจบในปีหน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 20, 2007 17:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          วงการแบงก์ เชื่อวิกฤติซับไพร์มจะคลี่คลายลงหลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อบรรเทาปัญหาและอาจปรับลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง แต่ยังต้องใช้เวลาไปถึงกลางปีหน้ากว่าที่ปัญหาจะยุติลงทั้งหมด ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวเป็นผลดีต่อไทยที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศน่าจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็มีโอกาสจะปรับลดลงอีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ขณะที่ผลกระทบโดยตรงในแง่ลบไม่น่าจะมี เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ประเภทซีดีโอซับไพร์มน้อยมาก 
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าในการสัมมนา"ซับไพร์มซีดีโอกับสถานการณ์การเงินและที่อยู่อาศัย"ว่า ปัญหาซับไพร์มน่าจะคลี่คลายลงในระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีเม็ดเงินเริ่มไหลกลับมาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหุ้น โดยมองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2550 น่าจะปรับขึ้นไปที่ 860 จุด
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะมีการปรับลดลงอีก 1 ครั้งมาอยู่ที่ระดับ 3% จาก 3.25% ในปัจจุบัน และค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมาที่ 32.75-33.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน ภาครัฐควรเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และเห็นว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่หลังการเลือกตั้งควรจะยกเลิกมาตรการ 30% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยใกล้เคียงกับสหรัฐแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเงินไหลออกนอกประเทศมากนัก เพราะเกรงว่าถ้าเข้ามาอีกก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการ 30%
นายณัฐพงศ์ สมิตอำไพพิศาล รองผู้อำนวยการอาวุโส ความเสี่ยงด้านการตลาด ธนาคารกรุงเทพ คาดว่า เฟดอาจจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกเพื่อบรรเทาปัญหาซับไพร์มลง เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีความน่าเชื่อถือสูงกลายมามีปัญหาเหมือนตลาดสินเชื่อซับไพร์ม แต่ขึ้นกับว่าเฟดจะปรับในช่วงใด
นายณัฐพงศ์ มองว่าปัญหาซับไพร์มไม่น่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย เนื่องจากสถาบันการเงินไทยมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว และดอกเบี้ยของไทยปัจจุบันก็อยู่ในระดับต่ำ
ส่วนธนาคารพาณิชย์ของไทยคงจะไม่เกิดปัญหาจากการลงทุนในซับไพร์มเนื่องจากสถาสบันการเงินไทยมีการลงทุนในซีดีโอซับไพร์มน้อยมาก ซึ่งในส่วนของธนาคารกรุงเทพเองลงทุนในซีดีโอประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูง และขณะนี้ก็ได้รับผลตอบแทนคุ้มกับการลงทุนแล้ว จึงไม่กังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้น จึงเชื่อมั่นว่าระบบการเงินไทยก็จะไม่ได้รับผลกระทบ
นายกรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายจัดการลงทุนตราสารหนี้ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ปัญหาซับไพร์มมีแนวโน้มคลี่คลายลงหลังเฟดปรับลดดอกเบี้ย ทำให้นักเก็งกำไรมีความสามารถในการผ่อนชำระมากขึ้น แต่ก็มองว่ากว่าที่ปัญหาจะจบลงน่าจะใช้เวลาเกินกว่า 6 เดือน จึงย่อมส่งผลต่อความผันผวนในตลาดหุ้นในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ต่อไป
แต่ทางกบข.ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตซับไพร์มเนื่องจากสินทรัพย์ที่กบข.เข้าไปลงทุนต้องกำหนดความเสี่ยง และส่วนใหญ่กบข.ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ ประเภทอาคารสำนักงาน ไม่ได้ลงทุนผ่านกองทุนจึงไม่ได้รับผลกระทบ
ในระยะต่อไปทางกบข.ก็ยังเน้นลงทุนในหุ้นเพิ่มมากขึ้น หลังจากขอขยายเพดานการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 15%เป็น 25% จากที่ผ่านมา กบข.เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 70% ซึ่งหลังการขยายเพดานการลงทุนในต่างประเทศแล้วจะเน้นการลงทุนในหุ้นในตลาดต่าง ๆ ทั่วโลกให้มีความหลากหลาย โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยง
นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า ในประเทศไทยการปล่อยสินเชื่อบ้านจะทำโดยตรงกับธนาคารพาณิชย์ และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยไม่มีการซีเคียวริไทเซชั่นตราสารซีดีโอเหมือนในสหรัฐ ดังนั้นจึงไม่มีความเสี่ยงในเรื่องนี้
ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อบ้านของประเทศไทยหลังจากเกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้มีการเข้มงวดมากขึ้น ประกอบกับระดับดอกเบี้ยลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 50 จึงไม่มีปัญหาซับไพร์มในประเทศไทย เพียงแต่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและความผันผวนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเม็ดเงินของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในหุ้นไทยบางครั้งเป็น Hedge Fund ซึ่งมีการซื้อซีดีโอไว้เป็นจำนวนมากถ้าหากมีการเรียกการค้ำประกันเพิ่มขึ้น ก็จะต้องมีขายหุ้นออกเพื่อไปเอาเงินไปค้ำประกันซีดีโอที่มีปัญหาในสหรัฐ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ