นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการเว็บเทรด Satang Pro กล่าวถึงสถานการณ์ที่ราคาบิทคอยน์ ร่วงลงต่ำกว่า 30,000 เหรียญสหรัฐในวันนี้ว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาราคาบิทคอยน์ขึ้นเร็วมาก จนหลายคนมองว่าเร็ว ๆ นี้อาจต้องปรับฐานเหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีตเช่นปี 60-61 ในมุมมองเชื่อว่า Cycle นี้ของบิทคอยน์ยังไม่จบ และฟองสบู่บิทคอยน์ยังไม่แตก และจะสามารถทำ New High ได้อีก โดย JP Morgan ออกมายอมรับว่าบิทคอยน์จะเป็นการลงทุนที่ดีและบอกว่าราคาอาจจะขึ้นไปถึง 146,000 เหรียญสหรัฐในระยะยาว
ทั้งนี้ การที่บิทคอยน์ทำราคาสูงสุดใหม่หลายครั้งนั้น ตลาดกำลังส่งสัญญาณว่าความสำคัญของเหล่าวาฬนักลงทุนรายใหญ่ (Big Whale) เริ่มลดบทบาทลงเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันผู้เล่นรายใหญ่และหน้าใหม่ ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบัน ประเภท Hedge Funds, Asset Management, Corporates เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาส 4/63 เป็นต้นมา
"ผมเคยบอกมาตลอดว่า บิทคอยน์ จะเป็นสิ่งที่หายากขึ้นไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้ แต่คือปัจจุบันนี้แล้ว ในช่วง 30 วันที่ผ่านมาบิทคอยน์ประมาณ 270,000 บิทคอยน์ มูลค่า 9.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณเกือบ 3 แสนล้านบาท ได้ถูกโอนออกจากกระดานเทรด (Exchange) ไปเก็บข้างนอกแทน ต้องบอกเลยว่าเป็นปริมาณที่สูงมาก เพราะมากกว่า 1% ของจำนวนบิทคอยน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด 21 ล้านเหรียญสหรัฐ ถูกย้ายไปยังนักลงทุนสถาบันการเงินหรือ Whale ที่เป็นผู้ถือบิทคอยน์ระยะยาวเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ Grayscale Bitcoin Trust ถือบิทคอยน์มากกว่า 600,000 BTC หรือเรียกได้ว่ามากกว่า 3% ของบิทคอยน์ในตลาดโลกอยู่ในมือ Grayscale
ดังนั้น หมายความว่าบิทคอยน์จะขึ้นหรือลงในตลาดตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้จำนวนเงินเยอะในการดันหรือทุบราคา ถ้าวาฬจะทุบเพื่อ Shake Out จากรายย่อยก็ไม่ต้องใช้เงินมาก หรือจะลากให้ราคาขึ้น เพื่อให้รายย่อยเข้าตามก็ไม่ต้องใช้เงินมากเช่นกัน ดังนั้นตลาดร้อนแรง ความเสี่ยงสูง นักลงทุนต้องบริหารเงินให้เป็น" นายปรมินทร์ กล่าว
นายปรมินทร์ กล่าวอีกว่า จะเห็นได้ว่าราคาบิทคอยน์ผันผวนแรงจาก 42,000 เหรียญสหรัฐ ลงมาต่ำกว่า 30,000 เหรียญสหรัฐนั้นเป็นไปได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือน เพราะฉะนั้นแล้วเงินที่จะนำมาใช้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่ แนะนำว่าควรจะเป็นเงินเย็น เป็นเงินที่เรายอมรับได้ถ้าเกิดการสูญเสีย ส่วนเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือเงินที่ไปกู้มาก็ยังยืนยันว่าไม่ควรเสี่ยงเด็ดขาด ต่อให้รู้ว่าตลาดจะขึ้นก็ตาม นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาหาความรู้ให้เข้าใจ เทรดแบบมองข้อมูลเชิงพื้นฐานและศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้วยเพื่อป้องกันความเสี่ยง ที่สำคัญคือต้องใช้สติและวิจารณญาณในการลงทุน
สำหรับเหตุผลสำคัญ 3 ข้อที่ทำให้บิทคอยน์จะไม่ลงไปต่ำกว่า 20,000 เหรียญสหรัฐฯ เหมือนช่วงปี 61 ถึงก่อนไตรมาส 4/63 ก็คือ
1) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนมาก เพราะสหรัฐฯกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ใช้ทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนโยบายการคลังที่ผ่านสภาคองเกรสแบบมโหฬาร นโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ คือผลิตเงินขึ้นมาอีกสามล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้หลาย ๆ บริษัทและนักลงทุนต้องหาทางลดสภาพคล่องด้วยการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเก็บเงินสด
2) บิทคอยน์คือสินทรัพย์คงคลังตัวใหม่ บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะ Reserve Asset มากขึ้นอย่างก้าวกระโดดถ้าเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ล่าสุด BlackRock ซึ่งเป็นผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดก็เข้ามาในตลาดบิทคอยน์แล้ว โดยกำลังเตรียมการเข้าสู่ตลาดอนุพันธ์หรือ Bitcoin Futures รวมถึงได้ยื่นหนังสือถึง ก.ล.ต.สหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว 2 ฉบับ ได้แก่ BlackRock Funds V และ BlackRock Global Allocation Fund, Inc. ซึ่งBlackRock มี Assets under management: 7.81 trillion USD หรือประมาณ 234 ล้านล้านบาท
3) สินทรัพย์ดิจิทัล เริ่มมีช่องทางการเข้าถึงที่แพร่หลายสู่ผู้ใช้ทั่วโลกมากขึ้น ผ่าน Paypal ที่มีทั้ง 20 ล้าน ร้านค้า และ สมาชิกผู้ใช้ทั่วโลกประจำอยู่ 346 ล้านสมาชิก รวมไปถึงความร่วมมือของ Visa และ USDC ซึ่งจะทำให้ร้านค้าจำนวน 60 ล้าน ร้านค้าทั่วโลกเข้าถึงการใช้เงินคริปโตได้
"เรากำลังอยู่ในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง และปีนี้บิทคอยน์และเงินคริปโทจะถูกยอมรับโดยคนทั่วโลก เป็น Mass Adoption มากขึ้น และอยากฝากว่านักลงทุนมือใหม่อย่าหลงเชื่อคนที่มาชวนลงทุนแบบตรวจสอบไม่ได้ จะซื้อขายให้ปลอดภัย ต้องผ่านเว็บเทรดที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจาก ก.ล.ต."นายปรมินทร์ กล่าว