สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)คาดว่า การลงทุนในประเทศจะฟื้นตัวอย่างมากในปี 51 โดยเฉพาะการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่กำหนดวงเงินไว้ถึง 2.9 แสนล้านบาท จะกลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีหน้าให้ขยายตัวได้ถึง 5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ 2.8%
สำหรับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ อัตราการใช้กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีแรงกระตุ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับ การมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ จะทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการพัฒนาประเทศมากขึ้น
แหล่งข่าวจากสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า โครงการลงทุนใหม่ ๆ ที่รัฐวิสาหกิจจะดำเนินการในปี 51 จะช่วยกระตุ้นภาพรวมการลงทุนได้อย่างมาก โดยโครงการที่สำคัญ ได้แก่ บมจ.การบินไทย (THAI) มีการจัดหาเครื่องบิน A330-300 จำนวน 8 ลำ วงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท, บมจ.ท่าอากาศยานไทย(ทอท.หรือ AOT))มีโครงการขยายลานจอดรถในท่าอากาศเชียงราย 49 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)จัดหาหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า 20 คัน วงเงิน 2,420 ล้านบาท และรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า 284 คัน วงเงิน 710 ล้านบาท
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)มีโครงการลงทุน 19,156 ล้านบาท เช่น โครงการเปลี่ยนเครื่องยนต์รถโดยสารมาใช้ก๊าซธรรมชาติ 2,890 คัน วงเงิน 4,955 ล้านบาท โครงการเช่ารถโดยสารปรับอากาศที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,059 คัน วงเงิน 14,201 ล้านบาท
ส่วนรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ(กคช.)มีการลงทุน 4,273 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและโครงการบ้านพักข้าราชการ
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) 20,059 ล้านบาท แบ่งเป็น บมจ.ทีโอที 14,619 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในโครงการขยายเครือข่ายบรอดแบนด์ไอพี 4,765 ล้านบาท โครงการทดแทนอุปกรณ์ชุมสาย SPC 9,854 ล้านบาท ขณะที่ บมจ.กสท.โทรคมนาคม มีเงินลงทุน 5,440 ล้านบาท เช่น โครงการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม และโครงการระบบเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว
กระทรวงพลังงานมีเงินลงทุน 28,063 ล้านบาท เป็นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.)ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,063 ล้านบาท โครงการขยายระบบส่งไฟฟ้าระยะที่ 11 ราว 23,000 ล้านบาท, กระทรวงมหาดไทย เป็นโครงการลงทุนของการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)39,621 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายภูมิภาค(กฟภ.)19,067 ล้านบาท การประปานครหลวง(กปน.)7,800 ล้านบาท การประปาภูมิภาค(กปภ.)8,794 ล้านบาท
กระทรวงการคลัง มีเงินลงทุนก่อสร้างโรงงานยาสูบแห่งที่ จ.สระบุรี 3,361 ล้านบาท ส่วนบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ 961 ล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า หากมีการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้เต็ม 100% เชื่อว่า GDP ในปี 51 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 5% แต่หากสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ 90% GDP จะลดลงจากเป้า 0.3% และหากเบิกจ่ายงบลงทุนได้เพียง 70% GDP จะลดลงอีก 0.9%
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ คาดว่าในปี 50 รัฐวิสาหกิจที่จะมีกำไรสูงสุด 10 อันดับแรก คือ กฟผ. 17,257 ล้านบาท ทีโอที 12,135 ล้านบาท กฟภ.11,956 ล้านบาท การบินไทย 10,515 ล้านบาท กสท. 4,724 ล้านบาท โรงงานยาสูบ 5,932 ล้านบาท กฟน.4,910 ล้านบาท การท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.)2,123 ล้านบาท ทอท.1,688 ล้านบาท บมจ.อสมท(MCOT) 1,361 ล้านบาท
ส่วนรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนมากที่สุด รฟท. 8,472 ล้านบาท ขสมก. 6,269 ล้านบาท การรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(รฟม.) 3,778 ล้านบาท กคช. 1399 ล้านบาท กปภ.136 ล้านบาท
ทั้งนี้ แหล่งข่าว กล่าวว่า สภาพัฒน์เป็นห่วงอัตราค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มผันผวน โดยหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทุก ๆ 1 บาทจะทำให้มูลค่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 51 ลดลง 1,800 ล้านบาท แต่ในทำนองเดียวกันหากเงินบาทอ่อนค่าทุก 1 บาทจะทำให้มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 1,800 ล้านบาทเช่นกัน
--อินโฟเควสท์ โดย รบฦ3/ศศิธร/กษมาพร โทร.0-2253-5050 อีเมล์: kasamarporn@infoquest.co.th--