ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในเดือนม.ค. 2564 ภาคครัวเรือนยังคงมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพโดยรวมทั้งในปัจจุบันและอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยดัชนีปรับตัวลดลงอย่างมากอยู่ที่ 37.2 และ 38.8 ตามลำดับ จาก 40.2 และ 40.7 ในเดือนธ.ค. 2563 หลังในเดือนม.ค. 2564 จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่มาจากการค้นหาเชิงรุกในจังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลให้มาตรการควบคุมการระบาดกลับมาถูกประกาศใช้อีกครั้ง แต่ไม่ได้มีความเข้มงวดเท่ากับมาตรการที่ใช้ในการระบาดรอบแรก โดยมีแบ่งตามเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนที่กำลังเริ่มฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะชะงักชะงันอีกครั้ง รวมถึงแรงงานบางส่วนได้เผชิญกับปัญหาขาดแคลนรายได้จากการทำงาน หรือรายได้ลดลงจากชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอัตราการว่างงานในเดือนธ.ค.2563 ที่แม้จะลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูงที่ 1.5% จาก 2% ในเดือน พ.ย.2563 นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจำนวนผู้มีงานทำ แต่ไม่ได้ทำงานรวมถึงไม่ได้รับค่าจ้างยังอยู่ในระดับสูง จึงส่งผลให้ครัวเรือนมีความกังวลเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อภาวะการมีรายได้และการมีงานทำ โดยองค์ประกอบของดัชนีด้านรายได้ในเดือนม.ค.64 ลดต่ำลงอยู่ที่ 38.7 จาก 46.9 ในเดือนธ.ค.63 ซึ่งคาดว่าเกิดจากการที่ฐานะทางการเงินของภาคครัวเรือนมีความอ่อนแออยู่เดิม หลังได้รับผลกระทบจากการระบาดในรอบแรก
"ภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย ยังมีแนวโน้มเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นด้านรายได้และการจ้างงาน ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง" ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า แม้ว่าดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) ในเดือนม.ค. 64 จะลดต่ำลงอย่างมาก แต่ระดับของดัชนียังอยู่สูงกว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาดในรอบแรก (เม.ย.2563) ที่อยู่ที่ 35.1 สอดคล้องกับผลสำรวจเพิ่มเติมของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ได้สอบถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเมื่อเทียบกับการระบาดในรอบแรก โดยส่วนมาก (44%) ระบุว่าได้รับผลกระทบปานกลาง หมายถึงได้รับผลกระทบบ้าง โดยมีความเคยชินกับวิธีรับมือและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขณะที่อีก 34% ระบุว่าได้รับผลกระทบมาก (วิตกกังวลเหมือนกับการระบาดรอบแรก/ใช้ชีวิตที่บ้าน)
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามเพิ่มเติมครัวเรือนบางส่วนยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาการถูกลดเวลาการทำงาน ทำให้สูญเสียรายได้บางส่วน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังของภาคครัวเรือนในอนาคต ดังนั้น มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐจึงยังมีความจำเป็นที่จะเข้ามาช่วยเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ภาครัฐได้ออกมาตรการเยียวผลกระทบมาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยโครงการส่วนใหญ่จะเริ่มขึ้นในเดือนก.พ. 2564 นี้ ทั้งโครงการ "เราชนะ" (ให้เงินช่วยเหลือ 3,500 บาทเป็นระยะเวลา 2 เดือนแก่แรงงานที่ไม่ได้อยู่ในระดับประกันสังคมมาตรา 33 และ 39) การลดค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าอินเทอร์เนตเป็นระยะเวลา 2 ? 3 เดือน) รวมถึงโครงการ "เรารักกัน" (ให้เงินช่วยเหลือ 3,000 บาท แก่แรงงานในระบบประกันสังคมมาตรการ 33) นอกจากนี้ยังได้ขยายสิทธิโครงการ "คนละครึ่ง" เพิ่มเติม
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาความต้องการของครัวเรือนส่วนใหญ่ที่ทำการสำรวจ พบว่า โครงการต่าง ๆ ของภาครัฐส่วนใหญ่ที่ออกมาเป็นไปตามความต้องการของครัวเรือนไทย โดยครัวเรือนส่วนใหญ่ยังต้องการความช่วยเหลือในเรื่องการแจกเงินเยียวยาวมากที่สุด (50.6%) ทั้งนี้ มาตรการที่ครัวเรือนไทยต้องการเพิ่มขึ้นจากการระบาดในครั้งก่อน คือ มาตรการอุดหนุนเงินแก่บริษัทเพื่อรักษาการจ้างงาน จึงยังคงต้องติดตามมาตราการเยียวยาต่าง ๆ ของภาครัฐในระยะต่อไป สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นจากในเดือนก่อน โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจากการค้นหาเชิงรุกเริ่มลดน้อยลง ขณะที่มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การขยายเวลาการเปิดร้านอาหาร และฟิตเนสที่เริ่มกลับมาเปิดได้ นอกจากนี้ ความหวังเรื่องวัคซีนที่จะเริ่มเข้ามาในช่วงเดือนก.พ. จะทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมาเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเว้นระยะห่างทางสังคมยังคงมีความจำเป็น จนกว่าประชาชนจะได้รับวัคซีนจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ดังนั้นพฤติกรรมต่าง ๆ ของประชาชนจะยังไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ ส่งผลให้การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ