นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคมและโฆษกกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีสภาองค์กรของผู้บริโภคได้แถลงข่าวปัญหาราคาค่าโดยสารรถรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีราคาสูงเกินไป โดยเรียกร้องภาครัฐบริหารจัดการค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบ และมีข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม คือ การเร่งรัดการใช้ระบบตั๋วร่วมของบริการขนส่งมวลชนทุกประเภท และการกำหนดค่าโดยสารสูงสุดต่อวันของขนส่งมวลชนทั้งระบบนั้น
กระทรวงคมนาคม ขอชี้แจงว่า แนวทางที่สามารถคุมราคาค่าโดยสารได้ คือ การนำระบบตั๋วร่วมมาใช้กับการบริการขนส่งสาธารณะทุกประเภทตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เนื่องจากการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างระบบจะไม่คิดค่าแรกเข้าจะทำให้ค่าโดยสารระบบรางถูกลงกว่า 30% ซึ่งขณะนี้กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการเร่งรัดการดำเนินงานระบบตั๋วร่วม โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
1. การดำเนินงานระยะสั้น ได้แก่ การเร่งพัฒนาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ (Automatic Fare Collection: AFC) ของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพื่อทำให้บัตรโดยสารที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ บัตรแมงมุม บัตร MRT Plus บัตร MRT และบัตร Rabbit สามารถใช้เดินทางข้ามระบบ (Interoperable Ticketing System) กับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) และรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา (สายสีเขียว) และส่วนต่อขยายได้
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กรุงเทพมหานคร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะพัฒนาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ (AFC) ให้สามารถใช้บัตรแมงมุม บัตร MRT Plus บัตร MRT และบัตร Rabbit เดินทางข้ามระบบกันได้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีม่วง และสายสีเขียว ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2563 ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการระบบขนส่งมวลชนและส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางข้ามระบบสูงขึ้น
ปัจจุบันมีจำนวนผู้ถือบัตรโดยสารรถไฟฟ้าในแต่ละประเภทที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานดังกล่าว ดังนี้ บัตรแมงมุม จำนวน 0.2 ล้านใบ บัตร MRT Plus และบัตร MRT รวมจำนวน 2 ล้านใบ และบัตร Rabbit จำนวน 14.2 ล้านใบ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยระยะแรกจะใช้ได้กับระบบรถไฟฟ้าที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันภายใต้การกำกับของ รฟม. รฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ก่อน (รถไฟฟ้า MRT รถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์) และในอนาคตจะดำเนินการขยายการให้บริการเพื่อให้ครอบคลุมทุกระบบขนส่ง ทั้งรถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง ระบบทางพิเศษ และเรือโดยสารต่อไป
2. การดำเนินงานระยะยาว ได้แก่ การเร่งพัฒนาระบบตั๋วร่วมในรูปแบบ Account Based Ticketing (ABT) ซึ่งเป็นการใช้บัตรผ่านระบบบัญชี โดยจะขยายการให้บริการให้ครอบคลุมทุกระบบขนส่ง ทั้งรถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง ระบบทางพิเศษ และเรือโดยสาร สำหรับความคืบหน้า รฟม. และธนาคารกรุงไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบตั๋วร่วมด้วยการนำบัตรเครดิตชนิด EMV (Europay Mastercard and Visa) มาใช้เป็นตั๋วร่วมสำหรับระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นเพราะสามารถเดินทางก่อน แล้วชำระเงินภายหลังพร้อมรอบการชำระบัตรเครดิต โดยมีแผนงานดังนี้
1) เริ่มทดลองนำมาใช้กับทางด่วนหรือทางพิเศษในบางเส้นทาง เช่น ทางด่วนกาญจนาภิเษก ทางด่วนอุดรรัถยา ทางด่วนศรีรัชวงแหวนรอบนอก เป็นต้น และจะขยายให้ครอบคลุมทางด่วนหรือทางพิเศษอื่น ๆ ภายในเดือนกรกฎาคม 2564
2) เริ่มโครงการนำร่องเพื่อนำมาใช้กับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยจะเริ่มจากรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ก่อนเป็นลำดับแรก คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในเดือนมกราคม 2565
3) ปัจจุบันได้มีการใช้งานบนรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และมีแผนจะขยายให้ครอบคลุมรถโดยสารของเอกชนร่วมบริการต่อไป
4) เริ่มโครงการนำร่องเพื่อนำมาใช้กับเรือไฟฟ้าโดยสาร (MINE Smart Ferry)
ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายสูงสุดในการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ