ชีลล่า แบร์ ประธานบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) คาดว่า จะมีผู้กู้ยืมกว่า 1.5 ล้านรายที่ไม่สามารถชำระหนี้สินที่เกิดจากกู้จำนองได้ หลังจากที่มีการปรับระดับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียล รายงานว่า แบร์ กล่าวกับคณะกรรมการบริการการเงินสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรว่า เราต้องปรับระดับอัตราดอกเบี้ยอีกมาก
ขณะที่ โรเบิร์ต สตีล รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลังฝ่ายการคลังในประเทศ กล่าวในที่ประชุมเดียวกันว่า รัฐบาลสหรัฐจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เจ้าของบ้านต้องสูญเสียบ้านของตน ทั้งในส่วนของการร่วมมือกับผู้ปล่อยกู้และคณะที่ปรึกษา เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการปล่อยกู้จำนองเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
จอห์น ดูแกน เจ้าหน้าที่จาก Comptroller of the Currency กล่าวว่า ต้องใช้เอกสารเพิ่มขึ้นในการกู้ยืม และสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้ควรใช้วิธีการดั้งเดิมด้วยการให้กู้จำนองระยะ 30 ปี แทนที่จะเป็นการให้กู้ยืมด้วยอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำในช่วง 2 ปีแรกและเพิ่มสูงขึ้นหลังจากนั้น
แบร์ กล่าวต่อไปว่า เนื่องด้วยการปล่อยกู้จำนองที่ล้มเหลว FDIC จึงเฝ้าจับตาธนาคารต่างๆอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพราะเกรงว่าอาจมีการผิดนัดชำระหนี้ในธุรกิจการปล่อยกู้จำนองซับไพรม์ อย่างไรก็ดี เธอ กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เผชิญปัญหานี้มากนัก เนื่องจากมีผู้ปล่อยกู้นอกภาคธนาคารเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก
"โดยรวมแล้วเราคิดว่า ธนาคารไม่เผชิญกับปัญหามากนักและยังมีสถานะดีอยู่" แบร์ กล่าวทิ้งท้าย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ฤดี ภวสิริพร/รัตนา โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--