นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์) คาดการณ์วงเงินลงทุนทั้งสิ้น ประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐในรูปแบบ PPP พัฒนาท่าเรือน้ำลึก มอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ ส่วนระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ จะอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน
ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา วงเงิน 67.8 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญา 30 เดือน ซึ่งจะสรุปการศึกษาในปี 2565 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขออนุมัติโครงการจากนั้นจะเป็นการประมูลคัดเลือกเอกชนได้ภายในปี 2565 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะลดระยะเวลาในการขนส่งทางเรือจากเส้นทางเดิม ลงได้ 1วันครึ่ง และจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางขนส่งทางน้ำของอาเซียน และคาดว่า โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจดี จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของพื้นที่ภาคใต้ เพิ่มจาก 2% ในปัจจุบัน เป็น 4 % ภายใน 10 ปี หลังจากโครงการแล้วเสร็จ
โดยโครงการแลนด์บริดจ์นี้จะเป็นการบูรณาการรูปแบบการขนส่งเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือระนองแห่งใหม่ ฝั่งอันดามันและท่าเรือชุมพร ฝั่งอ่าวไทย โดยออกแบบให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัยหรือ Smart Port ควบคุมการบริหารจัดการด้วยระบบออโตเมชั่น รวมทั้งการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) และรถไฟทางคู่ ตลอดจนวางระบบการขนส่งทางท่อ เพื่อก่อสร้างไปพร้อมกันในพื้นที่เดียวกัน ตามแผนบูรณาการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมต่อแนวเส้นทางรถไฟทางคู่ (MR-MAP) ที่ช่วยลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน
"หลังจากนี้ ต้องลงพื้นที่ศึกษารายละเอียดกำหนดจุดเหมาะสมก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 ฝั่ง แนวมอเตอร์เวย์ และรถไฟทางคู่ เพื่อให้กระจายความเจริญตามแนวเส้นทาง ซึ่งมูลค่า 1 แสนล้านบาทนั้น ไม่ถือว่าสูงสำหรับการลงทุนเมื่อเทียบกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เมืองการบินอู่ตะเภา ซึ่งจากการพูดคุยกับทูตหลายประเทศให้ความสนใจ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นที่มีกลุ่มทุนใหญ่ลงทุนในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศจะต้องโรดโชว์ แจ้งข้อมูลให้ทูตประเทศต่างๆ ต่อไป และมั่นใจว่าจะเป็นโครงการที่ปรับโฉมการเดินทางและระบบโลจิสติกส์ทางน้ำของโลก"
ปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดีย ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออกผ่านช่องแคบมะละกา (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นเส้นทางที่อ้อมและมีระยะไกล การจราจรทางน้ำคับคั่ง มีความหนาแน่นของปริมาณเรือสูงถึง 100,000 ลำ/ปี และคาดว่าในปี 2567 การรองรับปริมาณเรือของช่องแคบมะละกาจะเต็มศักยภาพ โดยคาดการณ์ภายใน30 ปีหรือในปี 2593 ปริมาณเรือจะเพิ่มขึ้นอีก 4 เท่า หรือมีประมาณ 400,000 ลำ/ปี
สำหรับการศึกษามีขอบเขต ประกอบด้วย 1.ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเงิน วิศวกรรม สังคม 2.ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้นและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) 3.จัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ 4.วิเคราะห์จัดทำรูปแบบการพัฒนาและการลงทุน และ 5.สร้างความเข้าใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านตลอดระยะเวลาดำเนินงาน