พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันกับนักลงทุนต่างชาติที่เข้าร่วมงานไทยแลนด์โฟกัส 2007 ในวันนี้ว่า รัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)จะร่วมกันดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม เพื่อนำประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบโดยเร็ว ซึ่งคาดว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศได้ในเดือน ม.ค.51
"ในอีกสามเดือนข้างหน้านี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการพัฒนาทางการเมืองในอนาคตของประเทศไทย...ผมเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นในทุกด้าน"พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวในหัวข้อ"This Government’s Legacy for Thailand"
สำหรับมรกดตกทอดที่รัฐบาลชุดนี้ประสงค์จะให้สืบทอดต่อไป คือสังคมที่มีความโปร่งใสมากขึ้น มีความพอเหมาะพอดี มีความยุติธรรม และเป็นสังคมที่มีความพอเพียงมากขึ้น และเพื่อให้สามารถประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายนั้น รัฐบาลต้องวางรากฐานที่ดีให้แก่การปฏิรูปนโยบาย เพื่อเป็นฐานที่แข็งแกร่งในช่วงเปลี่ยนผ่านของการเปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยขับเคลื่อนพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว
นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า เศรษฐกิจของไทยมีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นเพียงพอจะรองรับผลกระทบทั้งจากภายในและภายนอกได้ดี ในปี 50 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในระดับ 4.0-4.5% ซึ่งช่วงครี่งแรกของปีนี้เติบโตไปแล้ว 4.3% โดยมีการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ขณะที่รัฐบาลพยายามเร่งรัดการใช้จ่ายเพื่อช่วยกระตุ้นอีกแรงหนึ่ง
และปัจจัยเศรษฐกิจอื่น ๆ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นที่จะช่วยให้การบริโภคพลิกฟื้นขึ้นมา อาทิ อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เงินเดือนที่สูงขึ้นของภาครัฐ อัตราการชำระหนี้จากงบประมาณสาธารณะที่สูงขึ้น และที่สำคัญที่สุด คือ อัตราการจ้างงานที่ต่ำลง
สำหรับการลงทุนก็เริ่มพลิกผัน โดยการนำเข้าสินค้าทุน การลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของ BOI หรือยอดขายรถยนต์ในช่วง 2-3 เดือนหลังที่เริ่มดีขึ้น ทำให้เห็นว่าการลงทุนได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสแรกของปีมาแล้ว โดยในช่วงไตรมาส 2 ขยายตัว 0.2% จากที่หดตัวลง 2.3% ในช่วงไตรมาสแรก
การลงทุนในสาธารณูปโภคจะช่วยสร้างโอกาสให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ซึ่งจะถูกผลักดันให้เริ่มขึ้นภายในปีนี้ โดยโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินจะเร่งการประมูลสำหรับ 2 เส้นทางในกรุงเทพฯและชานเมือง รวมถึงการลงทุนด้านท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการรออนุมัติของ BOI และ EIA สำหรับโครงการด้านปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เมื่อกระบวนการเหล่านี้เสร็จสิ้นจะช่วยกระตุ้นความมั่นใจทางเศรษฐกิจและสร้างบรรยากาศการลงทุนที่สดใส
นอกจากนี้ ยังคงส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว 14.8 ล้านคนในปี 2550 มีการพัฒนาแพ็คเกจการท่องเที่ยวและสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ โดยเน้นเรื่องวัฒนธรรมไทยและทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่งานเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษามีอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดปี
รัฐบาลยังคงขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน ระหว่างไทยและประเทศอื่นๆ ผ่านข้อตกลงทวิภาคีและพหุภาคี เมื่อไม่นานนี้เราได้ทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) และยังมองถึงการทำข้อตกลงกับประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย เพื่อกระตุ้นการค้าและการลงทุนอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศแรกที่นำหลักแห่งความยั่งยืนมาเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ ยังต้องแก้ไขปัญหารายได้ที่ไม่เท่าเทียมและส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคมต่อไป
รัฐบาลได้วางพื้นฐานต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันในระยะยาว ทั้งการพัฒนาความสามารถและประสิทธิภาพเชิงการผลิต เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่ การวางแผนพัฒนายุทธศาสตร์การขนส่ง, แผนส่งเสริมการผลิตสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในภาคโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิต, แผนปรับโครงสร้างทางสินทรัพย์ทางปัญญา, การพัฒนากลไกการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก และการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการแข่งขัน
รัฐบาลยังมีเป้าหมายฟื้นฟูความสามัคคีของชาติ ควบคู่ไปกับเสริมสร้างความโปร่งใสและความเท่าเทียม ในการแก้ปัญหาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ รัฐบาลมีความตั้งใจใช้แนวทางสันติวิธีเพื่อสร้างความสมานฉันท์ สร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นระหว่างประชาชนในสังคม ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามในอีก 5 ปีข้างหน้า พื้นที่ของกลุ่มหัวรุนแรงจะถูกจำกัดยิ่งขึ้น และเชื่อว่าความปรารถนาดี และความร่วมมือ จะสามารถฟื้นฟูสันติภาพได้
ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือความโปร่งใสและยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในสังคม กระบวนการสร้างกฏหมายให้เข้มข้นจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการป้องกันการทุจริต คิดไม่ชอบในภาคสังคมและการเมือง รวมถึงในวงจรธุรกิจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความมั่นใจว่า ด้วยความพยายามในการเสริมสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ประเทศไทยจะพัฒนาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ การดำเนินการในปี 2550 ของรัฐบาล จะส่งผลให้ไทยเป็นแหล่งลงทุนและดำเนินธุรกิจที่น่าสนใจยิ่งขึ้น และเชื่อมั่นว่าสิ่งที่รัฐบาลสร้างไว้จะทำให้ประเทศไทยมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพประสิทธิผล เท่าเทียมและยั่งยืนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ทุกประเทศต่างคาดหวัง
--อินโฟเควสท์ โดย ฐานิสร์ ทองนอก/ศศิธร/กษมาพร โทร.0-2253-5050 อีเมล์: kasamarporn@infoquest.co.th--