ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพโดยรวมทั้งในปัจจุบันในเดือนก.พ. 64 อยู่ที่ 39.5 และอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 41.3 ฟื้นตัวขึ้นจาก 37.2 และ 38.8 ในเดือนม.ค.64
ทั้งนี้ ดัชนีฯ กลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าการระบาดในรอบแรก โดยเมื่อเทียบกับช่วงคลายล็อกดาวน์ในเดือนพ.ค. 63 ดัชนีปรับขึ้น 2.9% จากเดือนเม.ย. 63 แต่ในครั้งนี้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นถึง 6.3% จากในเดือนม.ค.64 เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดในรอบใหม่นี้ไม่ได้มีการปิดเมือง และเน้นเฉพาะพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดหนัก อีกทั้งภาคครัวเรือนและธุรกิจได้เรียนรู้วิธีรับมือจากการระบาดในรอบก่อน
นอกจากนี้มาตรการเยียวยาต่าง ๆ ของภาครัฐ ส่งผลให้ภาคครัวเรือนมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายลดลง โดยดัชนีในส่วนของรายได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 42.6 จาก 38.7 และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 33.2 จาก 31.0 ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ในไทยเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลงต่อเนื่อง โดยเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการระบาดต่าง ๆ จนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดัชนีจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ระดับของดัชนียังอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ว่าครัวเรือนมีภาวะการครองชีพดีขึ้น ซึ่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวนั้น ความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐจึงยังมีความจำเป็นที่จะเข้ามาช่วยประคับประคองภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือน โดยมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมาล้วนได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งโครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และ ม33 เรารักกัน รวมถึงโครงการลดค่าสาธารณูปโภค โดยมีผู้เข้าร่วมใช้สิทธิจำนวนมากส่งผลให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศสอดคล้องไปกับเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนในเดือนม.ค.64 ที่แม้ว่าปรับตัวลดลงจากมาตรการควบคุมการระบาดอยู่ที่ -4.9% แต่ระดับการลดลงน้อยกว่าในช่วงล็อกดาวน์ปีก่อนในช่วงเดือนเม.ย. 63 ที่ลดลงถึง -15.1% บ่งชี้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมามีส่วนช่วยประคับประคองภาวะการครองชีพของครัวเรือน
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการสำรวจเพิ่มเติมในกรณีที่มีวัคซีนโควิด-19 เข้ามาในไทย โดยปัจจุบันได้เริ่มมีการฉีดวัคซีนเข็มแรกในไทยแล้ว โดยกลุ่มแรกที่ได้รับวัคซีนจะยังเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งผลสำรวจระบุว่า ครัวเรือนส่วนใหญ่ต้องการเข้าร่วมฉีดวัคซีนถึง 77.2% บ่งชี้ว่าหากวัคซีนสามารถเข้ามาในไทยได้เร็วกว่าที่กำหนดจะยิ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นและส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ในระยะข้างหน้าศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยกลับมา อย่างไรก็ตาม ระดับของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวกลับมาจะยังไม่สามารถกลับมาเท่ากับในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ได้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่แม้การท่องเที่ยวในประเทศจะช่วยประคับประคองตลาดไว้ได้บางส่วน แต่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังคงเป็นสัดส่วนใหญ่ที่จะส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าในปี 2564 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 2.0 ล้านคน ภายใต้เงื่อนไขการฉีดวัคซีนทั้งของประเทศไทยและของประเทศต้นทางที่จะเข้ามาเที่ยวในไทยและจำนวนวันในการกักตัว รวมถึงการออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccine passports for COVID-19) ดังนั้น ในช่วงรอยต่อจนกว่าการกระจายวัคซีนจะมีจำนวนมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่หรือมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ธุรกิจท่องเที่ยวไทยในปีนี้จึงยังต้องพึ่งพาอุปสงค์จากในประเทศเป็นหลัก (ไทยเที่ยวไทย) โดยล่าสุดภาครัฐเริ่มมีการพิจารณาขยายสิทธิห้องพักเพิ่มอีก 2 ล้านห้อง และระยะเวลาในการใช้สิทธิในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมถึงมีการแปลงโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋าเป็นโครงการทัวร์เที่ยวไทยโดยขยายอายุในการเข้าร่วมใช้สิทธิ ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและประคองธุรกิจภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการจ้างงานไว้
"ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยในระดับปัจจุบัน (ก.พ.64) และ 3 เดือนฟื้นตัวขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่ในระยะข้างหน้าดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐยังมีความจำเป็นในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไป" เอกสารเผยแพร่ ระบุ