นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มองว่า ปัญหาซับไพร์มจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐในปี 51 ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มที่จะต้องรับความผันผวนที่เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของโลก
ดังนั้น ทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐในระยะต่อไปจะเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการกำหนดนโยบายของธปท.ซึ่งจะให้น้ำหนักทั้งภาวะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากหากเศรษฐกิจนอกประเทศชะลอตัวก็จะมีผลกระทบกับประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะในประเด็นปัญหาซับไพร์มที่หากมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ก็อาจทำให้คำสั่งซื้อสินค้าจากตลาดสหรัฐชะลอตัวลง และจะกระทบกับการส่งออกของไทย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไทยเองก็ได้กระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดหลัก รวมทั้งภูมิภาคเอเชียเองก็มีการซื้อขายสินค้าระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งน่าจะลดแรงกดดันไปได้บ้าง
นางธาริษา กล่าวอีกว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เป็นเรื่องที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ที่ตัดสินใจลดมากถึง 0.50% แสดงให้เห็นว่าทางการสหรัฐกังวลว่าเศรษฐกิจกำลังจะชะลอตัว ซึ่งจะต้องติดตามว่ามีผลต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของโลกอย่างไร เพราะปัญหาซับไพร์มอาจทำให้เป็นไปได้ทั้งการที่นักลงทุนจะขายสินทรัพย์ที่ลงทุนในสหรัฐแล้วหันมาลงทุนในเอเชียแทน ขณะเดียวกันก็อาจมีการขายสินทรัพย์ที่ลงทุนในเอเชียไปลงทุนที่อื่นด้วย
สำหรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในมุมมองของธปท.ขณะนี้คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตในระดับ 4 - 5% โดยมีการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก และหากการเมืองมีความชัดเจนก็จะทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชนเร่งตัวขึ้น ซึ่งในปี 51 มองว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับ 4.5-6.0% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับ 2% และเงินบาทยังมีแรงกดดันอยู่
ทั้งนี้ นางธาริษา กล่าวระหว่างการสัมมนา"แนวโน้มเศรษฐกิจไทยภายใต้สภาวะการเงินโลกที่ผันผวน"เย็นวันนี้
--อินโฟเควสท์ โดย ธปฦ/ศศิธร/เสาวลักษณ์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 353 อีเมล์: saowalak@infoquest.co.th--