นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลยังคงยืนยันที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้มีอัตราการเติบโต (จีดีพี) ได้ที่ระดับ 4% แม้หลายหน่วยงานจะมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเติบโตได้เพียง 3% หรืออาจน้อยกว่านั้น เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่มองว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เพียง 2.7% เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากรายได้การท่องเที่ยวที่หดหายไปจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยรัฐบาลมองว่าเป้าหมายการเติบโตที่ 4% เป็นเป้าหมายที่ท้าทายและต้องพยายามจะไปถึงให้ได้
"รัฐบาลต้องมีจุดยืน เราต้องคงไว้ และต้องทำให้ได้ ถือเป็นโจทย์ที่ท้าท้าย" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี การที่จะไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่ 4% นั้นอาจจะต้องมีการเตรียมความพร้อมเปิดประเทศในการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาให้ได้ก่อนเดือน ต.ค.นี้ เพราะหากเปิดรับนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีอาจไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทัน แต่การเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศก่อนเดือน ต.ค.นี้ไม่ได้หมายถึงการเปิดรับแบบทั้ง 100% ทั่วประเทศ เป็นเพียงการเปิดให้เข้ามาได้เฉพาะบางจังหวัดตามความสมัครใจของประชาสังคมนั้นๆ ด้วย เช่น จังหวัดภูเก็ตที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
นายสุพัฒนพงษ์ ยังมองว่า ขณะนี้ประเทศไทยถือได้ว่าเข้าสู่ช่วงปลายของการระบาดของไวรัสโควิดแล้ว ซึ่งรัฐบาลจะต้องประคองและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศด้วย ขณะเดียวกันก็หวังให้ภาคประชาชนที่มีเงินออม นำเงินที่ออมส่วนหนึ่งออกมาใช้จ่ายอันเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ ซึ่งรัฐบาลจะมอบหมายให้กระทรวงการคลัง ไปศึกษามาตรการเพื่อจูงใจให้คนกลุ่มนี้นำเงินออมส่วนเกินออกมาใช้ โดยเบื้องต้นอาจมีรูปแบบคล้าย co pay ส่วนรายละเอียดจะเป็นลักษณะใดขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ไปศึกษาก่อน
"ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่หมายความให้ทุกคนเลิกออม แต่ที่ผ่านมาตัวเลขการออมเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% แต่ปีที่ผ่านมาการออมเพิ่มขึ้นถึง 11% จึงอยากให้นำเงินออมส่วนเกินนี้ออกมาจับจ่ายใช้สอย มาช่วยชาติ ได้สินค้าและบริการที่ราคาย่อมเยาว์ โดยรัฐมีส่วนร่วมด้วย" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว