นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากประเทศสมาชิกอาเซียนลงนามความตกลงการค้าบริการอาเซียน (ASEAN Trade in Services Agreement: ATISA) ครบทั้ง 10 ประเทศ เมื่อเดือน ต.ค.63 ล่าสุดไทยเป็น 1 ใน 2 ประเทศแรก (ร่วมกับสิงคโปร์) ที่ได้ให้สัตยาบันความตกลงฯ เพื่อให้มีผลใช้บังคับตามกำหนดของความตกลงฯ ในวันที่ 5 เม.ย.64 โดยอาเซียนจะใช้ความตกลง ATISA แทนกรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน หรือ AFAS (ASEAN Framework Agreement on Services) ที่จัดทำมาตั้งแต่ปี 2538
อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ความตกลง ATISA เป็นการปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านการค้าบริการของอาเซียนให้มีความทันสมัย มีการยกระดับมาตรฐานต่างๆ ในการค้าบริการของอาเซียน อาทิ การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมกับผู้ให้บริการอาเซียน หากประเทศสมาชิกมีการขยายสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มเติมในความตกลงอื่นๆ ในอนาคต (Automatic MFN) กฎเกณฑ์ด้านความโปร่งใสในการใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการค้าบริการ การกำหนดให้มีการเผยแพร่กฎระเบียบต่างๆ ต่อสาธารณะ และการเปลี่ยนรูปแบบข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการให้เป็นมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณี (Negative List)
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนจะเริ่มดำเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดทำข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการเป็นแบบการจัดทำรายการข้อสงวนรายการมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีให้แล้วเสร็จภายใน 7 ปี โดยยังคงรักษาระดับการเปิดตลาดการค้าบริการให้สอดคล้องกับระดับปัจจุบัน หรือข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการของอาเซียน ชุดที่ 10 ไปพลางก่อน
อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า การมีผลใช้บังคับของความตกลง ATISA เป็นความคืบหน้าที่สำคัญของอาเซียนภายใต้เป้าหมายการยกระดับความร่วมมือและการรวมตัวในภาคบริการที่กว้างขึ้นและลึกขึ้น ตามแผนงานประชาเศรษฐกิจอาเซียนปี 2568 (AEC Blueprint 2025) ความตกลง ATISA จึงเป็นความตกลงด้านการค้าบริการที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทั้งผู้ให้บริการและนักลงทุนของไทยและสมาชิกอาเซียน ส่งเสริมบรรยากาศการค้าบริการที่สามารถคาดการณ์ได้ จึงเป็นการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ บริการด้านสุขภาพ บริการด้านการท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง บริการด้านก่อสร้าง บริการด้านการจัดประชุม และการจัดนิทรรศการ หรือ MICE เป็นต้น