กสิกรฯ ชี้วิกฤตโควิด,รัฐประหารฉุดศก.เมียนมา -8.5% การค้าชายแดนไทยหด -6%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 12, 2021 16:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวดีขึ้นจากการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ และการกระจาย วัคซีนโควิด-19 ที่ช่วยผ่อนคลายข้อจำกัดในการใช้ชีวิตในหลายประเทศจนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับมุมมองเศรษฐกิจ โลกปี 2564 เติบโตดีขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 6.0% ในเดือน เม.ย.64 จากเดิม (ม.ค.64) ที่คาดว่าจะเติบโต 5.5% แต่ท่ามกลางสัญญาณ บวกดังกล่าว กลับสวนทางกับภาพเศรษฐกิจเมียนมาที่กำลังเผชิญมรสุมทางการเมืองในประเทศอย่างหนัก อีกทั้งภาพลักษณ์ของเมียนมาใน สายตาชาติตะวันตกก็กำลังมีบทบาทลดน้อยลงจากความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของสหรัฐฯ ได้ประกาศระงับความตกลงการค้าและการลงทุนกับ เมียนมาที่มีมาตั้งแต่ปี 2556 (Trade and Investment Framework Agreement: TIFA) ในวันที่ 30 มี.ค.64 อันมีผลให้เมียนมา ต้องสูญเสียสิทธิพิเศษทางภาษีเป็นการทั่วไป (GSP) ของสหรัฐฯ ไปพร้อมกัน สะท้อนแรงกดดันจากต่างประเทศที่เมียนมาต้องแบกรับ และมี ความเสี่ยงที่สหภาพยุโรปจะดำเนินการแบบเดียวกันในระยะข้างหน้า โดยตัดสิทธิพิเศษทางการค้า Everything But Arms (EBA) ที่ให้ แก่เมียนมา

เพียงระยะเวลาแค่สองเดือนนับตั้งแต่กองทัพเมียนมาเข้ายึดอำนาจรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 ก.พ.64 เกิดการแสดงอารยะขัดขืน (Civil Disobedience Movement : CDM) เป็นวงกว้างและทวีความรุนแรงเรื่อยมา จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ในช่วง ครึ่งแรกของปี 64 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในเมียนมาเกิดภาวะชะงักงันต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการเงินยังคงเผชิญ กับข้อจำกัดในด้านมูลค่าการทำธุรกรรมและการให้บริการ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวกดดันการบริโภคโดยรวม นอกจากนี้ ภาคการผลิตและการส่ง ออกของเมียนมายังถูกซ้ำเติมจากการที่สหรัฐฯ ตัดสิทธิ์ GSP ที่ให้แก่เมียนมา แม้ว่าเมียนมาจะพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 5% มี สินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 1 ใน 3 ใช้สิทธิ GSP ในการทำตลาด แต่สิ่งที่ตามมาคือความเชื่อมั่นด้านการลงทุนในเมียนมาถูกบั่นทอนลง อีกทั้งมีความเสี่ยงที่นานาชาติจะเพิ่มแรงกดดันด้านต่างๆ กับเมียนมา เป็นอุปสรรค์ต่อการทำธุรกิจในอนาคต คงยากที่จะมีการขยายการลง ทุนใหม่เพิ่มเติมในระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนเดิมบางส่วนระงับการดำเนินธุรกิจในเมียนมาไปแล้ว

เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมียนมาทุกตัวอยู่ในภาวะชะลอตัวมากกว่าที่เคยคาดไว้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ เศรษฐกิจเมียนมาปี 64 อาจจะหดตัวลึกขึ้นมาอยู่ที่ราว -8.5% (กรอบประมาณการ -9.8% ถึง -7.2%) โดยขึ้นอยู่กับพัฒนาการทาง เศรษฐกิจและการเมืองในเมียนมาเป็นหลัก กรณีการประท้วงในประเทศไม่ขยายวงกว้างกว่านี้ และทางการเมียนมาสามารถควบคุม สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองภายในช่วงครึ่งหลังของปีให้ทยอยดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกได้ ทำให้เศรษฐกิจเมียนมาทั้งปี 64 คาดว่า จะโน้มเอียงเข้าสู่กรอบบนของประมาณการที่หดตัว -7.2%

โดยภาคการผลิตและการส่งออก น่าจะเป็นภาคส่วนที่ฟื้นตัวได้ก่อนจากอานิสงส์ของความต้องการสินค้าตามการเติบโตของ เศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ การลงทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐาน และภาคการเกษตร ซึ่งมีสัดส่วน ประมาณ 53% ของยอดคงค้างการลงทุนตรงน่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวตามมา อย่างไรก็ดี หากเป็นในกรณีที่ความขัด แย้งทางการเมืองเมียนมายังคงรุนแรงเช่นนี้ลากยาวตลอดปี จะส่งผลให้เศรษฐกิจอาจทรุดตัวเข้าใกล้กรอบล่างที่หดตัว -9.8% อันเป็นผล จากการชะงักงันของกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศที่ลากยาวออกไป ตลอดจนแรงฉุดของการลงทุนที่น่าจะเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

ภาพเศรษฐกิจเมียนมาตั้งแต่เริ่มปี 64 เรียกได้ว่าเผชิญความความท้าทายอย่างมาก ทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโค วิดและปัจจัยความไม่สงบในประเทศ ส่งผลให้การส่งออกจากไทยไปเมียนมาผ่านชายแดนในเดือน ก.พ.64 กลับมาหดตัวสูง -21.4% (YoY) ส่วนหนึ่งเป็นภาพต่อเนื่องของสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มลุกลามอีกครั้ง และบางส่วนก็เป็นผลพวงจากความไม่สงบในประเทศ ทำ ให้สินค้าส่วนใหญ่เริ่มหดตัวชัดเจนมากขึ้นจากเดือนก่อน ทั้งสินค้าที่ส่งไปสนับสนุนภาคการผลิตและการลงทุนในประเทศที่ดูจะหดตัวค่อนข้าง มาก อาทิ เหล็ก เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและไม่จำเป็นก็ปรับตัวลดลง อย่างชัดเจน ตอกย้ำการอ่อนแอของกำลังซื้อในเมียนมาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เช่น เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป เคมี ภัณฑ์ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ความไม่สงบในเมียนมาอาจส่งผลต่อเนื่องมายังช่องทางการค้าบริเวณพรมแดนเป็นครั้งคราว แต่ไม่กระทบการขนส่งสินค้าข้ามแดนมากนัก เพราะเมียนมาต้องพึ่งสินค้าไทยหลายชนิดท่ามกลางสภาวะที่ทั่วโลกเริ่มตีตัวออกห่างเมียนมา ขณะเดียวกันความน่ากังวลในความไม่สงบในช่วงแรก ทำให้มีการเร่งกักตุนสินค้าจากไทยค่อนข้างมากในบางพื้นที่ แต่ในช่วงที่เหลือของปี ด้วยกำลังซื้อและภาพเศรษฐกิจที่จะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ คงฉุดให้การส่งออกชายแดนไทยไปเมียนมาปี 2564 หดตัวลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ที่ - 6.0% โดยมีมูลค่าการส่งออกที่ 81,890 ล้านบาท (กรอบประมาณการหดตัวที่ -8.0% หากเศรษฐกิจเมียนมาทรุดตัวตลอดปีจะหดตัว - 2.9% หากครึ่งหลังเมียนมาสามารถควบคุมสถานการณ์ในประเทศให้กลับมาดีขึ้นได้)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ ตัวเลขเศรษฐกิจเมียนมาปี 2564

          ตัวเลขเศรษฐกิจ          ปี 2563                         ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดปี 2564
                                                       คาดการณ์ปี 2564          กรอบคาดการณ์
การเติบโตของเศรษฐกิจเมียนมา         3.2%*                    -8.5%             -9.8% ถึง -7.2%
การส่งออกของเมียนมาไปตลาดโล       -2.6%**                  -18.0%            -22.0% ถึง -15.0%
การส่งออกชายแดนไทยไปเมียนมา
(มูลค่า: ล้านบาท)               -12.4%(87,090)         -6.0%(81,890)    -8.0% ถึง -2.9%(80,100-84,600)
การนำเข้าชายแดนไทยจากเมียนมา
(มูลค่า: ล้านบาท)               -17.2%(77,688)         -9.4%(70,369)    -10.4% ถึง -5.9%(69,600-73,400)
หมายเหตุ: *ตัวเลขประมาณการโดย IMF, ** ตัวเลขประมาณการโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ที่มา: ADB, IMF, กรมการค้าต่างประเทศ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ