(เพิ่มเติม) พาณิชย์ เผย CPI เม.ย.64 ขยายตัว 3.41% ส่วน Core CPI ขยายตัว 0.30%

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 5, 2021 11:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

(เพิ่มเติม) พาณิชย์ เผย CPI เม.ย.64 ขยายตัว 3.41% ส่วน Core CPI ขยายตัว 0.30%

นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนเม.ย.64 อยู่ที่ 100.48 เพิ่มขึ้น 3.41% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ CPI เฉลี่ย 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) เพิ่มขึ้น 0.43%

"อัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.นี้ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากปัจจัยสำคัญในหมวดพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น หลังจากสิ้นสุดมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล รวมทั้งปัจจัยราคาน้ำมันตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยจากราคาอาหารสด เช่น เนื้อสุกร และผักสดที่เพิ่มขึ้น" นายวิชานันระบุ

ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือนเม.ย.64 อยู่ที่ 100.56 เพิ่มขึ้น 0.30% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ Core CPI เฉลี่ย 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 0.16%

รองผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนเม.ย.64 กลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในรอบ 14 เดือน และขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 ปี 4 เดือน เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้เมื่อเทียบกับฐานราคาที่ต่ำมากในปีก่อน ประกอบกับมาตรการลดค่าครองชีพด้านสาธารณูปโภคของรัฐทั้งค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปาสิ้นสุดลง รวมทั้งอาหารสดหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้นตามผลผลิตที่ลดลง ขณะที่สินค้าและบริการอื่นๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ

สำหรับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการ เดือนเม.ย.64 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (มี.ค.64) พบว่า มีสินค้าที่ราคาสูงขึ้น 134 รายการ เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำประปา, ผักสดต่างๆ ขณะที่สินค้าและบริการที่ราคาลดลง มี 99 รายการ เช่น ข้าวสารเจ้า, ไข่ไก่, กระเทียม, น้ำมันดีเซล เป็นต้น ส่วนสินค้าและบริการที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมี 197 รายการ

อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่กลับมาขยายตัวในเดือนนี้ นอกจากปัจจัยด้านราคาน้ำมัน และการสิ้นสุดของมาตรการของรัฐดังกล่าวแล้ว ยังมีสัญญาณด้านสถานการณ์เศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐที่สนับสนุนการใช้จ่ายของประชาชน และอุปสงค์ในตลาดโลกที่เริ่มฟื้นตัวตามลำดับ

โดยด้านอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น สะท้อนได้จากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และมูลค่าการส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่ยังคงขยายตัวได้ดีตามราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับดัชนีอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ รถยนต์นั่ง และรถจักรยานยนต์ ที่กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง ขณะที่ด้านอุปทานปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง และอัตราการใช้กำลังการผลิตปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง

"แต่ต้องจับตาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในขณะนี้ ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งภาคการผลิต และภาคการบริโภค และเป็นประเด็นข้อกังวลที่อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ต่อเนื่อง ซึ่งต้องติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ว่าจะสามารถควบคุมให้กลับมาสู่ภาวะใกล้เคียงปกติได้เมื่อใด" นายวิชานัน ระบุ

สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อ เดือนพ.ค.64 นั้น หากรัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยลดค่าครองชีพเพิ่มเติม ก็คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องจากเดือนเม.ย. แต่หากไม่มีมาตรการออกมาเพิ่มเติม ก็คาดว่าอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค.จะปรับตัวลดลงไปถึง 2%

"ถ้าไม่มีมาตรการลดค่าครองชีพ ก็คาดว่าเงินเฟ้อในเดือนพ.ค.จะสูงขึ้นได้อีก แต่ถ้ามีมาตรการออกมา ก็หักไปเลย 2% ต้องดูว่ามาตรการจะแรงแค่ไหน เพราะการลดค่าน้ำ ค่าไฟ จะทอนเงินเฟ้อในแต่ละเดือนลงไปได้ถึง 2%" รองผู้อำนวยการ สนค.ระบุ

พร้อมมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐที่คาดว่าจะออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น น่าจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ในประเทศ ชดเชยอุปสงค์ที่ลดลงจากการท่องเที่ยวได้ ขณะที่การฟื้นตัวของโลกน่าจะช่วยให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง สำหรับผลผลิตสินค้าเกษตรยังมีโอกาสผันผวนตามสภาพอากาศ ซึ่งส่งผลต่อราคาอาหารสด

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันยังคงเป็นแรงกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของประเทศ ซึ่งต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าเงินเฟ้อในปี 2564 จะเคลื่อนไหวระหว่างร้อยละ 0.7-1.7% (ค่าเฉลี่ยที่ 1.2%) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สนค.จะมีการทบทวนอีกครั้ง

ทั้งนี้ เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อปี 64 ในปัจจุบัน มีสมมติฐานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) โต 2.5-3.5% ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีที่ 55-65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยทั้งปี 29-31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ