น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในระลอกเดือนเมษายน 2564 และเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งกระทรวงการคลัง ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการเราชนะ (โครงการฯ) จะได้นำเสนอรายละเอียดและแนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมของโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 11 พฤษภาคม 2564
พร้อมเตือนให้ประชาชนได้ระมัดระวังข่าวปลอม ในลักษณะของข้อความสั้น (SMS) หรือข้อมูลที่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ที่อาจมีการฉวยโอกาสหลอกลวง
โฆษกกระทรวงการคลัง แจ้งว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 กระทรวงการคลังได้ระงับสิทธิชั่วคราวของผู้ประกอบการในโครงการฯ ที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายวงเงินสิทธิไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เช่น การแลกวงเงินสิทธิเป็นเงินสด เพิ่มเติม จำนวน 2,744 ราย โดยผู้ประกอบการดังกล่าวที่ประสงค์จะชี้แจงโต้แย้งสามารถดาวน์โหลดเอกสาร "แบบฟอร์มเพื่อชี้แจงโต้แย้ง" ได้ที่เว็บไซต์ www.เราชนะ.com และจัดส่งเอกสารดังกล่าวผ่านทางไปรษณีย์มายังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยวิธีการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการฯ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการอาจเสียสิทธิในการเข้าร่วมโครงการฯ และถูกตรวจสอบขยายผลสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
"กระทรวงการคลัง ขอความร่วมมือประชาชนในการรักษาสิทธิของตนเอง และขอให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ" น.ส.กุลยากล่าว
สำหรับความคืบหน้าของโครงการฯ ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ดังนี้
1) ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 73,742 ล้านบาท
2) ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ .com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 115,246 ล้านบาท และ
3) ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.4 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิสะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 15,243 ล้านบาท
ทำให้มีผู้ได้รับสิทธิในโครงการฯ แล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 204,231 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิในโครงการฯ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิแล้ว จำนวน 24.9 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 1.3 ล้านกิจการ