นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ผ่านระบบ Video Conference โดยการหารือในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไทยมีโอกาสได้พบปะกับผู้นำเข้าฟิลิปปินส์ หลังจากที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ยกเลิกนโยบายการจำกัดการนำเข้าข้าวเชิงปริมาณ และอนุญาตให้ผู้นำเข้าเอกชนสามารถนำเข้าข้าวได้อย่างเสรี โดยภายหลังการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2562 ด้วยปริมาณการนำเข้าข้าวสูงถึง 2.77 ล้านตัน และมีแนวโน้มว่าฟิลิปปินส์จะมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมค้าข้าวโลกต่อไปอีกในช่วง 2-3 ปีนี้
ในการประชุมครั้งนี้ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยรายงานสถานการณ์การผลิตข้าวไทยให้ผู้นำเข้าฟิลิปปินส์ทราบว่า ในปีนี้ไทยจะมีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าว ซึ่งจะส่งผลให้ราคาข้าวไทยลดลงในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้มากขึ้น นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาข้าวขาวพื้นนิ่มพันธุ์ กข 79 และ กข 87 ซึ่งคาดว่าจะสามารถออกสู่ตลาดได้ภายในระยะเวลา 1-2 ปี
ด้านผู้นำเข้าฟิลิปปินส์ ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ข้าวในประเทศว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายการนำเข้าข้าว ส่งผลให้ตลาดข้าวในฟิลิปปินส์มีการแข่งขันกันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ราคาข้าวถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ ซึ่งข้าวไทยมีราคาสูงกว่าข้าวจากประเทศอื่น เช่น อินเดีย และเวียดนาม นอกจากนี้ กลุ่มผู้นำเข้าได้ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันผู้บริโภคข้าวฟิลิปปินส์ มีความนิยมการบริโภคข้าวขาวพื้นนุ่มที่มีราคาไม่แพง โดยเฉพาะข้าวใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 6 เดือน เนื่องจากจะมีรสชาติอร่อยและนุ่มกว่าข้าวเก่า ทั้งนี้ ผู้บริโภคฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่เห็นว่าข้าวไทยเป็นข้าวคุณภาพที่มีรสชาติดี แต่มีราคาสูงเมื่อเทียบกับข้าวจากแหล่งอื่น
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มผู้นำเข้าได้เสนอให้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการขายข้าวไทยในฟิลิปปินส์ เช่น การจัดกิจกรรม Instore - Promotion ในห้างสรรพสินค้าหรือห้างค้าปลีก โดยในช่วงแรกเสนอให้มีการลดราคาข้าวไทยเพื่อให้ผู้บริโภคฟิลิปปินส์ได้ลองชิมรสชาติข้าวไทย เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้สูงขึ้นต่อไป โดยผู้นำเข้าฟิลิปปินส์มีความยินดีที่จะร่วมมือกับรัฐบาลไทย และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยในการจัดกิจกรรมดังกล่าว
ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา ในฐานะเซลล์แมนประเทศ มีแผนจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการได้รับรู้และความต้องการข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินกิจกรรมดังกล่าวได้ในช่วงไตรมาสที่ 3-4 หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น
นายกีรติ กล่าวว่า ในระยะต่อไปกรมฯ มีแผนหารือกับบังกลาเทศ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดเป้าหมายเพิ่มขึ้นต่อไป